วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เคล็ดลับเพิ่มพลังสมอง


นิสัยทำลาย 9 วิธีเพิ่มพลัง ...สมอง
via : หมอ สารภี


นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง

หน้าที่ของสมองยังมีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้ อารมณ์ ความจำ การเรียนรู้การเคลื่อนไหวและความสามารถอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับการเรียนรู้ แต่คนเรามักไม่รู้ตัวเองว่าพฤติกรรมบางอย่างที่กระทำลงไป นอกจากจะเป็นการทำร้ายร่างกายไม่พอ ยังทำร้ายสมองด้วย
1. ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี่จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม
2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคความจำสั้น
3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เกิดโรคสมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไป จะทำให้ออกซิเจนในสมองลดปริมาณลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อน การอดนอนเป็นเวลานาน จะทำให้เซลล์สมองตาย
7. การนอนคลุมโปง การนอนคลุมโปงจะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง
8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนในขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง เหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
ที่มา : http://www.vcharkarn.com/




9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์

โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด
1. จิบน้ำบ่อย ๆ
สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ
2. กินไขมันดี
คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที
หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน
4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึก Graceful Journal
ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ
สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการรส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
....การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตามส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
ที่มา http://www.nongdome.com/



วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ชาเขียว



ผงะ!ชาเขียวขวดปนยาศัตรูพืช




นักวิจัยสุ่มชาเขียวขวดพบ80% ปนเปื้อนสารกำจัดศัตรูพืช ชี้เสี่ยงมะเร็ง หากรับประทานมากจะส่งผลให้ยีนกลายพันธุ์ อย.ยืนยันมีการตรวจเข้มงวด

นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เปิดเผยในเวทีเจาะประเด็นเรื่องนโยบายเกษตรเพื่อสุขภาพ : แบน 4 สารเคมีเกษตรก่อมะเร็ง ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ตอนหนึ่งว่า มีข้อมูลทางวิชาการยืนยันชัดเจนว่าการเก็บตัวอย่างเครื่องดื่มชาเขียวบรรจุขวด พบ 80%มีการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช โดยสารเหล่านี้จะรบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ และเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดมะเร็ง

ทั้งนี้ จากงานวิจัยเรื่องการวิเคราะห์หาสารตกค้างของยาฆ่าแมลงในน้ำผักน้ำผลไม้ และชาเขียว ในภาชนะปิดสนิท ของ น.ส.เกสร นันทจิต คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าตัวอย่างชาเขียว 20 ใน 25 ตัวอย่าง มียาฆ่าแมลงเกินกว่า พ.ร.บ.ควบคุมมาตรฐานอาหาร พ.ศ. 2548 กำหนด นอกจากนี้ ยังได้สุ่มตรวจน้ำองุ่นพบว่ามียาฆ่าแมลงที่เป็นสารพิษอันตราย หากรับประทานมากจะส่งผลให้ยีนกลายพันธุ์

ด้าน ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า อย.ไม่เคยตรวจพบการปนเปื้อนสารกำจัดศัตรูพืชในเครื่องดื่มชาเขียว และยืนยันว่ามาตรการตรวจสอบเข้มงวดก่อนจะอนุมัติเลขสารบบอาหาร

ขณะที่ผลการตรวจตัวอย่างชาเขียวบรรจุขวดและน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มของมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แม้ไม่มีการปนเปื้อนสารเคมีกำจัดศัตรูพืช แต่มีน้ำตาลและกาเฟอีนสูงเช่นเดียวกับกาแฟ จึงไม่ใช่เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และไม่เหมาะกับเด็ก

ทั้งนี้ จากการเก็บตัวอย่างน้ำผักผลไม้รวม 100% จำนวน 10 รายการ พบน้ำตาลสูงเฉลี่ย 9.27 กรัม/100 มิลลิลิตร หรือคิดเป็น 4 ช้อนชา/1 แก้ว ขณะที่ปริมาณน้ำตาลตามที่นักโภชนาการกำหนดใน 1 วัน คือ 4-6 ช้อนชา

นายน้ำค้าง มั่นศรีจันทร์ เกษตรกร จ.ฉะเชิงเทรา กล่าวว่า สารเคมีมีโอกาสปนเปื้อนได้ในทุกกระบวนการปลูกพืชตั้งแต่การเตรียมดิน การปลูก การเก็บผลผลิต

ขอบคุณ ภาพ : มหาวิทยาลัยขอนแก่น http://www.kku.ac.th/
ขอบคุณ เนื้อข่าว : โพสต์ทูเดย์ http://bit.ly/Zo4ket