การเรียนรู้ในโลกยุคใหม่เปลี่ยนไปแล้ว ความรู้แบบเดิมที่มีผู้หยิบยื่นให้ไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตได้ทันท่วงที นักเรียนรู้ต้องแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเองอย่างมีวิจารณญาณ (ระวังกับดักความรู้ลวง)
วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2557
วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
คนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา
คนแจวเรือจ้างกับนักศึกษา
มีนักศึกษาผู้คงแก่เรียนคนหนึ่ง ได้ทำการว่าจ้างเรือแจวให้พาข้ามฟาก
ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด
เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ
ระมัดระวังในการพายเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ
“ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา
“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน
มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ
ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ
ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”
“ไม่เคยเลยครับ”
“ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง
วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า
“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
“วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยอีกแหละคุณ”
“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลย นะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้
แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว
“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า
“อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย
ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ
ว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา
ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ
ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร
ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง
ในขณะที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆดูมืดครึ้ม และลมเริ่มพัดจนน้ำเกิด
เป็นระลอกคลื่นเล็กๆ
เรือแจวได้แล่นไปอย่างช้าๆ จนเมื่อเรือได้เข้าสู่กระแสน้ำอันเชี่ยวกราด คนแจวเรือจึงต้องใช้ความ
ระมัดระวังในการพายเป็นอย่างมาก ส่วนฝ่ายนักศึกษานั้นกำลังนั่งก้มหน้าหนังสือเล่มใหญ่อยู่ จนในที่สุดนักศึกษาก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจากตำราแล้วมองไปยังคนแจวเรือ
“ลุงๆเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์บ้างไหม?” นักศึกษาเอ่ยถามขึ้น
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือจ้างตอบด้วยนำ้เสียงที่แผ่วเบา
“ถ้างั้นลุงก็พลาดโอกาสเสียแล้วหละ ในหนังสือประวัติศาสตร์นะลุง เต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าอ่าน
มีเรื่องของกษัตริย์และราชินีในสมัยอดีต รวมถึงเรื่องของสงคราม การต่อสู้ ทำให้เราสามารถรู้ว่าคนในสมัยโบราณ
ใช้ชีวิตกันแบบไหน แต่งกายกันอย่างไร ประวัติศาสตร์จะบอกให้ได้รู้ถึงความเจริญและความเสื่อมลงของชนชาติต่างๆ
ทำไมลุงไม่อ่านประวัติศาสตร์บ้างเล่า?”
“ผมไม่เคยเรียนหนังสือครับ” คนแจวเรือตอบ
คนแจวเรือก็ยังคงแจวเรือต่อไป ส่วนนักศึกษาก็ก้มหน้าอ่านตำราต่อไป คงมีแต่เสียงใบแจวกระทบพื้นน้ำเท่านั้น
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง นักศึกษาก็เอ่ยถามคนแจวเรือขึ้นอีก ”ภูมิศาสตร์เล่าลุง เคยอ่านบ้างไหม?”
“ไม่เคยเลยครับ”
“ภูมิศาสตร์ เป็นวิชาที่สอนให้เราได้รู้จักกับโลกและประเทศต่างๆ และยังรวมถึงกระทั่งภูเขา แม่น้ำ ลม พายุ ฝน นะลุง
วิชาภูมิศาสตร์เป็นวิชาที่น่าสนใจมาก ลุงไม่รู้จักวิชานี้เลยรึ?”
“ไม่เคยเลยครับ” คนแจวเรือตอบ
นักศึกษาส่ายหน้า
“ถ้าไม่รู้จักวิชานี้ ชีวิตลุงก็เหมือนไม่มีค่าอะไรเลย”
“วิทยาศาสตร์ละลุง เคยอ่านบ้างรึเปล่า”
“ไม่เคยอีกแหละคุณ”
“ลุงเนี่ยนะเป็นคนยังไงกันแน่? วิทยาศาสตร์ที่ช่วยอธิบายถึงเหตุและผลต่างๆ ลุงรู้มั้ยความก้าวหน้าของคนเราในทุกวันนี้ขึ้นอยู่กับวิทยาศาสตร์โดยตรงเลย นะ นักวิทยาศาสตร์เป็นคนที่สำคัญอย่างมากในโลกนี้เลยก็ว่าได้
แต่นี่อะไรลุงกลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ชีวิตของลุงช่างมีค่าน้อยเสียเหลือเกิน”
นักศึกษาปิดตำราของเขา และนั่งเงียบไม่พูดอะไรขึ้นอีก ในช่วงเวลานั้นก้อนเมฆสีดำได้แผ่ขยายและปกคลุมเต็มไปทั่วทั้งท้องฟ้า
ลมเริ่มพัดแรงขึ้น มีฟ้าแลบแปลบปลาบ เป็นเหตุบอกว่าพายุกำลังจะมา และเรือก็ยังเหลือระยะทางอีกกว่าครึ่งซึ่งไกลมากกว่าจะถึงฝั่ง
คนแจวเรือแหงนขึ้นมองท้องฟ้าด้วยสีหน้าที่หวาดหวั่น ”ดูเมฆนั่นซิคุณ พายุคงจะมาถึงเราในไม่ช้า คุณว่ายน้ำเป็นไหมครับ?”
นักศึกษาพูดขึ้นอย่างตื่นตกใจกลัว
“ว่ายน้ำ ผมว่ายไม่เป็นหรอกลุง”
บัดนี้คนแจวเรือเป็นฝ่ายเลิกคิ้วมองนักศึกษาอย่างประหลาดใจบ้างแล้ว และพูดว่า
“อะไรกัน นี่คุณว่ายน้ำไม่เป็นหรอกรึ คุณมีความรอบรู้มากมายออกขนาดนี้ ประวัติศาสตร์เอย
ภูมิศาสตร์เอย และวิชาวิทยาศาสตร์เอยคุณก็รู้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ไปเรียนการ
ว่ายน้ำด้วยเล่า อีกสักประเดี๋ยวเถอะ คุณก็จะได้รู้ว่าชีวิตของคุณไม่มีค่าเลย”
ลมพายุพัดแรงขึ้นเรื่อยๆ เรือแจวลำน้อยถูกคลื่นและลมโหมซัดพัดกระหน่ำใส่เข้ามา
ในไม่ช้าไม่นานเรือแจวก็ถูกคลื่นและพายุซัดจนเรือพลิกคว่ำคนแจวเรือจ้างสามารถ
ว่ายน้ำขึ้นฝั่งมาได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่านักศึกษาผู้น่าสงสาร
ได้จมหายไปในกระแสน้ำอันเชี่ยวกราดนั้นเอง
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557
ขอทานถามปัญหา
從前有一個叫化子每天出門乞討
กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน
,他很想過正常人的生活
เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ
於是他總要乞討一些糧食積攢起來
เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้
。可是他積攢了好多年,
แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี
他的糧倉還是只有那麼一點米
ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย
。他不明白是怎麼回事,
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
於是他打算弄個明白
เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ一天夜裡
คืนวันหนึ่ง
,他悄悄的躲在一個角落看著他的糧食
เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง
。結果,他看見一隻大老鼠來偷吃他的糧食。
ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา
於是他很氣憤,
เขาโกรธมาก
就對老鼠喊道
ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า
:『富人家那麼多糧食你不去吃,
"บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกิน
為什麼偏偏偷吃我辛辛苦苦攢下的糧食?』
ทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก"突然,老鼠說話了:
ทันใดนั้น เจ้าหนูพูดขึ้นว่า
『你命裡只有八分米,走遍天下不滿升。』
"ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง"乞丐問老鼠
ขอทานถามเจ้าหนู
:『這是為什麼?
"ทำไมเป็นเช่นนั้น"
老鼠對他說,
เจ้าหนูตอบว่า
我也不知道,你去問佛祖好了。』
"ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
於是,叫化子下了決心
และแล้ว ขอทานจึงตัดสินใจ
要去西天向佛祖問個明白,
จะไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ให้เข้าใจ
看看到底是什麼原因才有此命運?
ดูซิว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้叫化子第二天就出發了。
วันที่สอง เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง
他一路乞討,走了好多路
เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก
。有一天,他好不容易趕到天黑才見到一戶人家
อยู่มาวันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง
,便上前敲門,出來一個管家問他有什麼事,他說討點飯吃。
รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย正好員外出來看見了
พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า
,就問叫化子為什麼這麼晚了還在趕路?
เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก叫化子就說了他的命運,
ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
說要去問佛祖一個明白
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์。員外聽了趕緊把他請到屋裡坐下
เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน
。給他拿了好多乾糧和一些銀子。
ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง
叫化子問這是為什麼?
ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น
員外說明緣由
เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า
他說他家女兒都16歲了還不會說話。
ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้
拜託他去西天幫忙問問佛祖,是什麼原因?
ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย員外曾經發過誓說誰能讓他的女兒說話,
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้
她就把他的女兒嫁給誰。
เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น
叫化聽了覺得反正都是去西天
ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว
,我就順便幫幫他去問一下佛祖也好,
เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้
於是叫化答應了。
ขอทานจึงรับปากจะถามให้乞丐又走了許多山路
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า
。走到一座山上看見一個廟,
เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดหนึ่งตั้งอยู่
就進去討水喝。
ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม看見一個老和尚拄著一根錫杖,
เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก
很老的樣子,但很精神,
ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง
老和尚給了他水喝並且叫他休息一會
พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่,遂問他要到哪裡去。
แล้วถามเขาว่าจะไปไหน叫化子說明去向
ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป
,老和尚趕緊拉住叫化的手說,
พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า
拜託你一定幫我去西天問問佛祖。
ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย
我都修行了500多年了,
ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา500กว่าปีแล้ว
按說早該升天了,為什麼還飛不起來?
ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้
叫化也就答應了這個老和尚。
ขอทานก็เลยรับปากพระชรา再往前走,又過了許多溝溝坎坎。
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง
叫化子來到一條大江邊上,江裡沒有一條船。
ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ
叫化子著急了,這可怎麼辦?怎麼過去?
ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง叫化子哭了起來說,
ขอทานร้องไห้และพูดว่า
難道我的命就該這麼苦嗎?
หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ突然,江裡一個大老龜浮出水面。
ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ老龜說人話了
เต่าแก่พูดภาษาคนได้
,問叫化子在這裡哭什麼?叫化子把事情經過說了一遍。
ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
老龜對他說
เต่าแก่พูดกับเขาว่า
,我都修行了1000多年了,
ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา1000ปีแล้ว
按說早該成龍飛走了,為什麼還是一個老龜?
ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง如果你去了西天能夠幫我問問佛祖,
ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ ช่วยถามให้ข้าด้วย
我就把你馱到對面ข้าก็จะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม
叫化子很高興的答應了。ขอทานรับปากด้วยความดีใจ叫化子又走了不知多少天,
ขอทานเดินต่อไปจนจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน
可是怎麼也見不到佛祖
แต่ยังไงก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ
叫化子納悶了,
ขอทานชักจะเซ็ง
心裡想到,佛祖到底在哪裡?
คิดในใจว่า พระพุทธองค์อยู่ไหนนะ
西天按說早該到了啊
แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้วนะ。叫化子很傷心,
ขอทานเสียใจมาก
於是迷迷糊糊的就睡著了。
ก็เลยหลับไปแบบงุนงง佛祖出現了,
พระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้นแล้ว
叫化子很高興,
ขอทานดีใจมาก
佛祖問叫化子
พระพุทธองค์ถามขอทานว่า
,你這麼大老遠來這裡一定是有什麼很重要的事來問吧?
เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม說,是的,我要問幾個問題
ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม
,希望佛祖能夠給我說個明白。
หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้佛祖說好啊,不過有個條件,
พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะ
你最多只能問三個問題。เจ้าถามได้สูงสุดแค่3คำถามเท่านั้น因為一直以來都沒有人問三個以上的問題。
เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน3คำถามมาก่อน
叫化子答應了,心裡想到,我問哪幾個問題?
ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดี叫化子覺得自己的問題太不重要了
ขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
,老龜修行了一千多年了很不容易,它的問題應該問問。
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู和尚修行了500多年了也很辛苦,他的問題也應該問問พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
員外的女兒很可憐啊,不能說話怎麼嫁的出去?ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
他的問題也應該問問。
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู於是叫化子毫不猶豫的問了第一個問題。
และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1佛祖告訴他,老龜是因為捨不得它那背上的龜殼才變不成龍的,
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้
它的龜殼裡有二十四顆夜明珠在裡面。
ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด如果它把龜殼去了,就可以化成龍了。ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
第二個問題佛祖回答
คำถามที่2 ท่านตอบว่า
,老和尚整天都拿著他的寶貝錫杖,
พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน
心裡整天記掛著,他的錫杖是個寶物,
ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ用它在地上一扎,地上就會有清泉出現,
ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส
如果老和尚捨得扔掉那個錫杖,他就可以升天了。
ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว叫化子很高興,又問了第三個問題。
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3
佛祖回答,如果啞巴女孩見到她的心上人來了就會說話了,突然佛祖不見了
ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวใบ้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป。叫化子覺得自己的事也沒有什麼,
ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองก็ไม่มีอะไรสำคัญ
還是乞討過日子吧,於是就趕緊往回趕路。
กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ叫化子來到那個江邊,
ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ
老龜已經算到叫化子該回來了,就急著問佛祖是怎麼說的?
เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง叫化子說,你先把我度過江去我給你說。
ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง老龜把叫化度了過去,叫化子說了緣由,老龜一聽就明白了,
เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที於是就把龜殼脫了下來送給叫化子說,這裡面有24顆夜明珠
จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด,是無價之寶,對我已經是沒有用處了,我就把它送給你了。
เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า於是老龜馬上就變成龍飛走了。
เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป叫化子拿著24顆夜明珠又往回趕路。來到山上見了老和尚,
ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับ มาถึงบนเขาพบกับพระชรา老和尚急著問佛祖怎麼回答的?
พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร叫化子說了緣由,老和尚一聽非常高興,於是就把那個寶貝錫杖送給了叫化。
ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน老和尚馬上就騰雲飛走了。
พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป叫化子來到員外家門口,
ขอทานมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี
突然從裡面跑出一個大姑娘大聲喊道
ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า
:那個問佛祖話的人回來了คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว
。員外也跑了出來,
เศรษฐีก็วิ่งออกมา
他很吃驚他的女兒怎麼突然會說話了。
เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาก็พูดได้แล้ว叫化子說了佛祖的話,
ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์
員外非常高興就把女兒嫁給叫化了。เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน
愛出者愛返,
ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา
福往者福来ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา為別人著想,一定就有人想著你,
คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ
這就是因果,這就是規律。นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์
ขอบคุณที่มา :www.facebook.com
กาลครั้งหนึ่ง มีขอทานคนหนึ่งออกขอทานทุกวัน
,他很想過正常人的生活
เขาอยากจะมีชีวิตเหมือนคนปกติ
於是他總要乞討一些糧食積攢起來
เพราะฉะนั้น เขาจึงมักจะขอทานเสบียงกรังและตุนไว้
。可是他積攢了好多年,
แต่ว่าเขากักตุนเสบียงมาหลายปี
他的糧倉還是只有那麼一點米
ยุ้งฉางของเขาก็มีเพียงข้าวสารนิดหน่อย
。他不明白是怎麼回事,
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
於是他打算弄個明白
เพราะฉะนั้นเขาจึงตัดสินใจค้นหาสาเหตุ一天夜裡
คืนวันหนึ่ง
,他悄悄的躲在一個角落看著他的糧食
เขาแอบอยู่มุมหนึ่งของบ้านและจ้องไปที่เสบียง
。結果,他看見一隻大老鼠來偷吃他的糧食。
ในที่สุด เขาเห็นหนูตัวใหญ่มาขโมยกินเสบียงของเขา
於是他很氣憤,
เขาโกรธมาก
就對老鼠喊道
ตะโกนไปที่เจ้าหนูว่า
:『富人家那麼多糧食你不去吃,
"บ้านคนรวยมีอาหารเยอะแยะ แกทำไมไม่ไปกิน
為什麼偏偏偷吃我辛辛苦苦攢下的糧食?』
ทำไมเจาะจงมากินอาหารข้าที่กักตุนมาด้วยความลำบาก"突然,老鼠說話了:
ทันใดนั้น เจ้าหนูพูดขึ้นว่า
『你命裡只有八分米,走遍天下不滿升。』
"ชะตาของเจ้ามีข้าวสารได้แค่8ส่วน เดินให้ทั่วหล้า ก็ไม่สามารถมีข้าวได้ครบถัง"乞丐問老鼠
ขอทานถามเจ้าหนู
:『這是為什麼?
"ทำไมเป็นเช่นนั้น"
老鼠對他說,
เจ้าหนูตอบว่า
我也不知道,你去問佛祖好了。』
"ข้าก็ไม่รู้ เจ้าไปถามพระพุทธองค์สิ
於是,叫化子下了決心
และแล้ว ขอทานจึงตัดสินใจ
要去西天向佛祖問個明白,
จะไปทางทิศตะวันตกเพื่อถามพระพุทธองค์ให้เข้าใจ
看看到底是什麼原因才有此命運?
ดูซิว่าเหตุผลอันใดถึงมีชะตาชีวิตเช่นนี้叫化子第二天就出發了。
วันที่สอง เจ้าขอทานก็ออกเดินทาง
他一路乞討,走了好多路
เขาขอทานระหว่างทาง เดินทางไปไกลมาก
。有一天,他好不容易趕到天黑才見到一戶人家
อยู่มาวันหนึ่ง เขาเดินจนฟ้ามืดถึงจะพบบ้านคนหลังหนึ่ง
,便上前敲門,出來一個管家問他有什麼事,他說討點飯吃。
รีบไปเคาะประตู มีพ่อบ้านเดินออกมาถามว่ามีเรื่องอะไร เขาบอกขอข้าวกินหน่อย正好員外出來看見了
พอดีเศรษฐีเจ้าของบ้านออกมาเห็นเข้า
,就問叫化子為什麼這麼晚了還在趕路?
เลยถามขอทานว่า มืดอย่างนี้แล้วทำไมยังเดินทางอยู่อีก叫化子就說了他的命運,
ขอทานจึงเล่าชะตาชีวิตให้เศรษฐีฟัง
說要去問佛祖一個明白
บอกว่าจะไปถามเหตุผลกับพระพุทธองค์。員外聽了趕緊把他請到屋裡坐下
เศรษฐีได้ยินดังนั้น รีบเชิญขอทานเข้าไปนั่งในบ้าน
。給他拿了好多乾糧和一些銀子。
ให้เสบียงกรังและเงินกับเขาจำนวนหนึ่ง
叫化子問這是為什麼?
ขอทานถามว่าทำไมทำเช่นนั้น
員外說明緣由
เศรษฐีจึงเล่าเหตุผลให้ฟังว่า
他說他家女兒都16歲了還不會說話。
ลูกสาวข้าอายุ16แล้ว ยังพูดไม่ได้
拜託他去西天幫忙問問佛祖,是什麼原因?
ขอร้องให้เจ้าช่วยถามเหตุผลกับพระพุทธองค์ด้วย員外曾經發過誓說誰能讓他的女兒說話,
เศรษฐีเคยสาบานว่าใครก็ตามที่ทำให้ลูกสาวพูดได้
她就把他的女兒嫁給誰。
เขาก็จะให้ลูกสาวแต่งงานกับคนนั้น
叫化聽了覺得反正都是去西天
ขอทานได้ฟังเช่นนั้น คิดว่าไหนๆก็จะไปหาพระพุทธองค์อยู่แล้ว
,我就順便幫幫他去問一下佛祖也好,
เราก็ถือโอกาสช่วยถามให้เขาก็ได้
於是叫化答應了。
ขอทานจึงรับปากจะถามให้乞丐又走了許多山路
ขอทานเดินทางต่อไปผ่านภูเขาลูกแล้วลูกเล่า
。走到一座山上看見一個廟,
เดินถึงเขาลูกหนึ่ง เห็นวัดหนึ่งตั้งอยู่
就進去討水喝。
ก็เลยเข้าไปขอน้ำดื่ม看見一個老和尚拄著一根錫杖,
เห็นพระแก่รูปหนึ่งถือไม้เท้าดีบุก
很老的樣子,但很精神,
ท่าทางแก่มาก แต่ดูกระฉับกระเฉง
老和尚給了他水喝並且叫他休息一會
พระชราให้น้ำเขาดื่มและบอกให้เขาพักผ่อนสักครู่,遂問他要到哪裡去。
แล้วถามเขาว่าจะไปไหน叫化子說明去向
ขอทานบอกจุดหมายที่จะไป
,老和尚趕緊拉住叫化的手說,
พระชรารีบจับมือขอทานไว้และพูดว่า
拜託你一定幫我去西天問問佛祖。
ขอร้องเจ้าต้องช่วยถามพระพุทธองค์ให้หน่อย
我都修行了500多年了,
ข้าเข้าฌานฝึกฝนมา500กว่าปีแล้ว
按說早該升天了,為什麼還飛不起來?
ตามหลักควรจะขึ้นสวรรค์แล้ว ทำไมยังบินขึ้นไปไม่ได้
叫化也就答應了這個老和尚。
ขอทานก็เลยรับปากพระชรา再往前走,又過了許多溝溝坎坎。
เดินไปข้างหน้า ผ่านหนทางทั้งห้วยหนองคลองบึง
叫化子來到一條大江邊上,江裡沒有一條船。
ขอทานมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง ในแม่น้ำไม่มีเรือสักลำ
叫化子著急了,這可怎麼辦?怎麼過去?
ขอทานร้อนรนใจ จะทำอย่างไรดี จะข้ามไปยังไง叫化子哭了起來說,
ขอทานร้องไห้และพูดว่า
難道我的命就該這麼苦嗎?
หรือว่าชีวิตข้าจะต้องลำบากเช่นนี้หรือ突然,江裡一個大老龜浮出水面。
ทันใดนั้น เต่ายักษ์แก่ตัวหนึ่งโผล่ขึ้นเหนือน้ำ老龜說人話了
เต่าแก่พูดภาษาคนได้
,問叫化子在這裡哭什麼?叫化子把事情經過說了一遍。
ถามขอทานว่ามาร้องไห้ที่นี่ทำไม ขอทานเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
老龜對他說
เต่าแก่พูดกับเขาว่า
,我都修行了1000多年了,
ข้าได้เข้าฌานปฏิบัติตนมา1000ปีแล้ว
按說早該成龍飛走了,為什麼還是一個老龜?
ตามหลักน่าจะกลายเป็นมังกรบินไปแล้ว ทำไมยังเป็นแค่เต่าแก่ๆตัวหนึ่ง如果你去了西天能夠幫我問問佛祖,
ถ้าเจ้าไปพบพระพุทธองค์ ช่วยถามให้ข้าด้วย
我就把你馱到對面ข้าก็จะให้เจ้าขี่ข้ามแม่น้ำไปฝั่งตรงข้าม
叫化子很高興的答應了。ขอทานรับปากด้วยความดีใจ叫化子又走了不知多少天,
ขอทานเดินต่อไปจนจำไม่ได้ว่าอีกกี่วัน
可是怎麼也見不到佛祖
แต่ยังไงก็หาพระพุทธองค์ไม่เจอ
叫化子納悶了,
ขอทานชักจะเซ็ง
心裡想到,佛祖到底在哪裡?
คิดในใจว่า พระพุทธองค์อยู่ไหนนะ
西天按說早該到了啊
แดนสุขาวดีน่าจะถึงแล้วนะ。叫化子很傷心,
ขอทานเสียใจมาก
於是迷迷糊糊的就睡著了。
ก็เลยหลับไปแบบงุนงง佛祖出現了,
พระพุทธองค์ปรากฏองค์ขึ้นแล้ว
叫化子很高興,
ขอทานดีใจมาก
佛祖問叫化子
พระพุทธองค์ถามขอทานว่า
,你這麼大老遠來這裡一定是有什麼很重要的事來問吧?
เจ้ามาไกลขนาดนี้ น่าจะมีคำถามอะไรที่สำคัญมากใช่ไหม說,是的,我要問幾個問題
ใช่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะถามคำถามหลายคำถาม
,希望佛祖能夠給我說個明白。
หวังว่าท่านจะอธิบายให้ข้าน้อยเข้าใจได้佛祖說好啊,不過有個條件,
พระพุทธองค์ตอบว่า ได้สิ แต่มีเงื่อนไขหนึ่งนะ
你最多只能問三個問題。เจ้าถามได้สูงสุดแค่3คำถามเท่านั้น因為一直以來都沒有人問三個以上的問題。
เพราะว่าไม่เคยมีใครถามเกิน3คำถามมาก่อน
叫化子答應了,心裡想到,我問哪幾個問題?
ขอทานตอบตกลง คิดในใจว่า ข้าจะถามคำถามไหนดี叫化子覺得自己的問題太不重要了
ขอทานรู้สึกว่าคำถามของตนเองช่างไม่มีความสำคัญเลย
,老龜修行了一千多年了很不容易,它的問題應該問問。
เต่าแก่เข้าฌานมา1000ปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่าย คำถามเขาน่าจะลองถามดู和尚修行了500多年了也很辛苦,他的問題也應該問問พระชราปฏิบัติมา500ปี ก็ลำบากมาก คำถามเขาก็น่าจะถามดู
員外的女兒很可憐啊,不能說話怎麼嫁的出去?ลูกสาวเศรษฐีช่างน่าสงสารนัก พูดไม่ได้แล้วจะแต่งงานได้ยังไง
他的問題也應該問問。
คำถามของเขาก็น่าจะถามดู於是叫化子毫不猶豫的問了第一個問題。
และแล้วขอทานจึงไม่ลังเลที่จะถามคำถามที่1佛祖告訴他,老龜是因為捨不得它那背上的龜殼才變不成龍的,
พระพุทธองค์ตอบเขาว่า เต่าแก่ไม่ยอมสละกระดองของมัน ก็เลยไม่สามารถกลายเป็นมังกรได้
它的龜殼裡有二十四顆夜明珠在裡面。
ในกระดองของเต่ามีไข่มุกราตรีอยู่24เม็ด如果它把龜殼去了,就可以化成龍了。ถ้ามันยอมสละกระดอง มันก็จะกลายเป็นมังกรได้
第二個問題佛祖回答
คำถามที่2 ท่านตอบว่า
,老和尚整天都拿著他的寶貝錫杖,
พระชราถือไม้เท้าวิเศษทั้งวัน
心裡整天記掛著,他的錫杖是個寶物,
ในใจพะวงแต่ไม้เท้าว่าเป็นของวิเศษ用它在地上一扎,地上就會有清泉出現,
ใช้ไม้เท้าเคาะบนพื้น1ที บนพื้นก็จะกลายเป็นธารน้ำใส
如果老和尚捨得扔掉那個錫杖,他就可以升天了。
ถ้าหากพระชรายอมโยนไม้เท้าทิ้ง เขาก็จะขึ้นสวรรค์ได้แล้ว叫化子很高興,又問了第三個問題。
ขอทานดีใจมาก จึงถามคำถามที่3
佛祖回答,如果啞巴女孩見到她的心上人來了就會說話了,突然佛祖不見了
ท่านตอบว่า ถ้าเด็กสาวใบ้พบคนที่เธอรัก เธอก็จะพูดได้เอง และทันใดนั้นพระพุทธองค์ก็หายไป。叫化子覺得自己的事也沒有什麼,
ขอทานรู้สึกว่า ปัญหาของตัวเองก็ไม่มีอะไรสำคัญ
還是乞討過日子吧,於是就趕緊往回趕路。
กลับไปขอทานตามเดิมดีกว่า แล้วจึงรีบเดินทางกลับ叫化子來到那個江邊,
ขอทานกลับมาถึงริมแม่น้ำ
老龜已經算到叫化子該回來了,就急著問佛祖是怎麼說的?
เต่าแก่คำนวนว่าขอทานน่าจะมาถึงแล้ว จึงรีบถามว่าพระพุทธองค์ตรัสว่ายังไง叫化子說,你先把我度過江去我給你說。
ขอทานพูดว่า เจ้าพาข้าข้ามแม่น้ำไปก่อน ข้าจะเล่าให้ฟัง老龜把叫化度了過去,叫化子說了緣由,老龜一聽就明白了,
เต่าพาขอทานข้ามแม่น้ำไป ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง เต่าฟังแล้วเข้าใจทันที於是就把龜殼脫了下來送給叫化子說,這裡面有24顆夜明珠
จึงถอดกระดองออกยกให้ขอทานและพูดว่า ในนี้มีไข่มุกราตรี24เม็ด,是無價之寶,對我已經是沒有用處了,我就把它送給你了。
เป็นของที่หาค่ามิได้ สำหรับข้าไม่มีประโยชน์แล้ว ข้าขอยกให้เจ้า於是老龜馬上就變成龍飛走了。
เต่าแก่จึงกลายเป็นมังกร บินหายไป叫化子拿著24顆夜明珠又往回趕路。來到山上見了老和尚,
ขอทานเอาไข่มุกราตรี24เม็ด รีบเดินทางกลับ มาถึงบนเขาพบกับพระชรา老和尚急著問佛祖怎麼回答的?
พระชรารีบถามว่าพระพุทธองค์ท่านตรัสว่าอย่างไร叫化子說了緣由,老和尚一聽非常高興,於是就把那個寶貝錫杖送給了叫化。
ขอทานเล่าสาเหตุให้ฟัง พระชราได้ฟังดีใจมาก จึงมอบไม้เท้าวิเศษให้แก่ขอทาน老和尚馬上就騰雲飛走了。
พระชราจึงขี่เมฆบินขึ้นท้องฟ้าหายไป叫化子來到員外家門口,
ขอทานมาถึงหน้าบ้านเศรษฐี
突然從裡面跑出一個大姑娘大聲喊道
ทันใดนั้น มีหญิงสาววิ่งออกมาและตะโกนเสียงดังว่า
:那個問佛祖話的人回來了คนที่ไปถามพระพุทธองค์กลับมาแล้ว
。員外也跑了出來,
เศรษฐีก็วิ่งออกมา
他很吃驚他的女兒怎麼突然會說話了。
เขาตกใจมากที่อยู่ๆลูกสาวเขาก็พูดได้แล้ว叫化子說了佛祖的話,
ขอทานถ่ายทอดคำตรัสพระพุทธองค์
員外非常高興就把女兒嫁給叫化了。เศรษฐีดีใจมาก จึงให้ลูกสาวแต่งงานกับขอทาน
愛出者愛返,
ความรักที่ให้ออกไป ความรักก็จะย้อนกลับคืนมา
福往者福来ความสุขที่ให้ออกไป ความสุขก็จะย้อนกลับคืนมา為別人著想,一定就有人想著你,
คิดเผื่อคนอื่น ย่อมจะต้องมีคนคิดถึงคุณ
這就是因果,這就是規律。นี่คือเหตุและผล นี่คือกฏเกณฑ์
ขอบคุณที่มา :www.facebook.com
วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557
เลขชุดพีทาโกรัส (Pythagorean number series)
เลขชุดพีทาโกรัสที่เป็นจำนวนเต็ม (บางทียกเอามาใช้ได้เลย ไม่ต้องคำนวณให้เสียเวลา) ที่พบบ่อยมากๆมานำเสนอให้รู้จัก เช่น
ซึ่งสามารถตอบได้ทันที
สรุปว่า
ขอบคุณที่มา : http://www.baanmaha.com/community/thread48825.html
1) 3,4,5โดยเฉพาะเลขชุด ข้อที่ 1 ถึง ข้อที่ 3 จะพบมากในเกือบทุกข้อสอบ ทั้งคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ ที่เห็นชัด คือ ชุดของ
2) 5,12,13
3) 7,24,25
4) 8,15,17
5) 9,40,41
6) 11,60,61
7) 12,35,37
8) 20,21,29
3,4,5ชุดนี้เท่าที่เคยเห็นในข้อสอบ จะเป็น แค่ประมาณ 2 หรือ 3 เท่า เท่านั้นเอง
- ถ้าเพิ่ม 2 เท่า จะกลายเป็น 6,8,10
- เพิ่ม 3 เท่า เป็น 9,12,15
- เพิ่ม 4 เท่า เป็น 12,16,20
- เพิ่ม 5 เท่า เป็น 15,20,25
ซึ่งสามารถตอบได้ทันที
สรุปว่า
ชุดพีทาโกรัสที่เป็นจำนวนเต็ม
ชุดที่ 1) 3,4,5
(3,4,5) (6,8,10) (9,12,15) (12,16,20) (15,20,25) (18,24,30) และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ชุดที่ 2) 5,12,13
(5,12,13) (10,24,26) (15,36,39) (20,48,52) ….. และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ชุดที่ 3) 7,24,25
(7,24,25) (14,48,50) (21,72,75) (28,96,100) ….. และต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ขอบคุณที่มา : http://www.baanmaha.com/community/thread48825.html
วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557
วิธีกำจัดติ่งเนื้อ
ติ่งเนื้อเล็กๆนุ่มๆที่โผล่มาที่ผิวลักษณะเหมือนลูกโป่งเล็กๆแฟบๆอาจมีสีเข้มกว่าผิวเล็กน้อย ทางการแพทย์เรียกว่า Acrochordons ไม่มีอันตรายแต่ทำให้รู้สึกรำคาญเวลาลูบผิวและดูไม่สบายตาเอาเสียเลย
เกิดขึ้นได้ไง?
ติ่งเนื้อเกิดขึ้นทั้งหญิงและชายพบมากตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไปหรือบางคนเกิดก่อนหน้านั้น พบมากในคนอ้วน เชื่อกันว่าเกิดจากการเสียดสีระหว่างผิวหนังหรือกับเสื้อผ้า บางทฤษฎีบอกว่าเกิดจากฮอร์โมนเนื่องจากพบมากในสตรีระหว่างตั้งครรภ์ ในสหรัฐพบว่าประชากร 46% มีติ่งเนื้อเกิดขึ้นในร่างกายในประชาชนทุกระดับ
ติ่งเนื้อเกิดขึ้นที่ไหน?
พบได้ทุกที่ แต่ที่เจอมากๆคือบริเวณส่วนล่างของลำคอ ใต้วงแขน เปลือกตา ด้านล่างทรวงอก และรอยพบของผิวบริเวณก้น มีขนาดตั้งแต่ 2-5 มม. หลายคนพยายามตัดทิ้งแต่ยิ่งตัดออกก็ยิ่งโตขึ้นอีกด้วย
วิธีทั่วไปในการกำจัดติ่งเนื้อ
ซื้อายามาป้ายให้หลุดออกซึ่งยังไม่มีการยืนยันผลได้100% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแน่คือการระคายเคืองและการอักเสบมีเพืยงบางรายเท่านั้นที่ได้ผล บางครั้งใช้วิธีการบิดเกลียวหรือเอาไหมขัดฟันผูกไว้เพื่อให้ขาดเลือดและหลุดออกมาเองซึ่งเป็นไปได้ยากมากหรือออกมาไม่หมดแล้วจัดการยากกว่าเดิม หรือการผ่าตัดทั้ง4เทคนิคได้แก่ จี้ด้วยไฟฟ้า จี้ด้วยความเย็น จี้ด้วยสารเคมีและตัดออกด้วยมีด
วิธีการจัดการติ่งเนื้อด้วยวิธีธรรมชาติและอาจหาได้ในครัวคุณมีดังนี้
1. น้ำมัน Tea tree oil – ปั้นก้อนสำลีเล็กๆชุบน้ำมันTea Tree Oil แปะทิ้งไว้บริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ประมาณ 2 สัปดาห์ ติ่งเนื้อจะหายไป
2. น้ำมันละหุ่ง – นำน้ำมันละหุงผสมกับ Baking Soda อัตราส่วน 2:1 แต้มบริเวณที่เป็นทุกวัน ประมาณ 2-4 สัปดาห์จะหลุดออกเอง หากกลิ่นเหม็นก็เติมน้ำมันผิวส้มก็จะหอมขึ้น
3. แอปเปิ้ลไซเดอร์ – ทาลงที่ก้อนติ่งเนื้อโดยตรงวันละ 2 รอบแล้วเอาสำลีปิดทับไว้ ใช้เวลา 2-4 สัปดาห์ วิธีนี้จะรู้สึกแสบๆกัดๆหน่อย
4. เปลือกกล้วยหอม – ตัดเป็นชิ้นเล็กแปะไว้ด้วยพลาสเตอร์ จนกว่าจะหลุดออก
5. กระเทียม – บดกระเทียมสดและแปะที่ติ่งเนื้อและใช้พลาสเตอร์ปิดทับ ทำก่อนนอนแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่นตอนเช้าทำติดกันทุกคืน ประมาณ 3 คืนติ่งเนื้อจะหลุดออก และวิธีนี้ไม่ควรทำเกิน 3 คืนติดกันเพราะจะทำให้ผิวไหมได้
6. ขิง – ลอกเปลือกแล้วถูตรงติ่งเนื้อทุกๆวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ จะหลุดออก
7. น้ำสับปะรด – ชุบสำลีปิดที่ติ่งเนื้อวันละ 2 รอบ ประมาณ 1 สัปดาห์จะหายไป
ลองดูนะคะว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณหรือคนที่คุณรัก เพื่อผิวที่เรียบเนียนไม่สะดุดเวลาสัมผัส
ที่มา:
ด้วยความปรารถนาดี
www.hermisthealth.com
Cr. Healthdigezt.com
ด้วยความปรารถนาดี
www.hermisthealth.com
Cr. Healthdigezt.com
วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557
ท้าวปาจิต – นางอรพิม
“ปาจิตตกุมารชาดก”นี้เป็นนิทานชาดกเรื่องหนึ่งใน “ปัญญาสชาดก”อัน
เป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ที่ได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้
เพื่อบำเพ็ญบุญบารมีให้ครบถ้วน ๓๐ ทัศน์(บารมี ๓๐
ทัศน์) ในการที่จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระสัมมา
สัมพุทธเจ้านั่นเอง
แต่ที่น่าสนใจและน่าตั้งข้อสังเกตก็คือว่า เรื่องราวของชาดกนี้ตรงกันกับเรื่อง “ท้าวปาจิต-นางอรพิม”ซึ่งเป็นตำนานของ “เมืองพิมาย”(อำเภอ
พิมาย
จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชของไทยในปัจจุบัน)ซึ่งเกิดขึ้นในยุคขอมเรือง
อำนาจในสุวรรณภูมิทวีปแห่งนี้
ราวๆพุทธศตวรรษที่๑๕-๑๖(ยุคนั้นยังไม่มีราชอาณาจักรสยามหรือประเทศไทยของเรา
แต่อย่างใด)
ซึ่งยังพอมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้สามารถศึกษาค้นคว้าได้จนถึงทุกวันนี้
และเรื่องนี้ก็มีการบอกต่อและเล่าเป็นตำนานและเป็นนิทานพื้นบ้านสืบต่อมาจน
กระทั่งถึงทุกวันนี้
เนื้อเรื่อง(โดยย่อ) :
ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ ซึ่งมี “ท้าวปาจิต” ได้เกิดเป็นโอรสของ “พระเจ้าอุทุมราช”กับ
พระอัครมเหสี
"สุวรรณเทวี"กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครธมแห่งราชอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่และ
เกรียงไกรมากที่สุดในยุคนั้น เมื่อเจริญวัยเป็นหนุ่ม(พระชันษาประมาณ ๑๕ ปี)
พระบิดาก็ให้เลือกคู่ครองโดยการให้ทหารไปประกาศเรียกหญิงสาวบรรดามีในมหานคร
และหัวเมืองประเทศราชทั้งหลายนั้นมาให้ท้าวปาจิตเลือกเป็นคู่ครอง
สาวๆที่มานั้นมีทั้งลูกสาวเสนา อำมาตย์ ข้าราชการ ลูกพ่อค้า ชาวนา ชาวไร่
มากันจนหมดเมือง แต่ท้าวปาจิตไม่สนใจเลยแม้สักคนเดียว
จึงมิได้คล้องมาลัยให้สาวคนไหนแต่อย่างใด พระเจ้าอุทุมราชทรงกลุ้มพระทัย
จึงได้ให้โหรทำนายโชคชะตาราศีและเนื้อคู่แก่พระโอรส
โหรหลวงตรวจดูดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิดแล้วกราบทูลว่าเนื้อคู่ของท้าวปาจิต
ยังไม่เกิด
ขณะนี้อยู่ในครรภ์หญิงชาวนาผู้หนึ่งในเขตเมืองพิมายอันเป็นเมืองประเทศราช
ของนครธมซึ่งอยู่ทางทิศพายัพของพระนครธม
โดยท้าวปาจิตจะต้องเดินทางไปหาหญิงผู้นั้นและอภิบาลครรภ์ตลอดจนอบรมและ
เลี้ยงดูกุมารีด้วยพระองค์เอง
ซึ่งจะสามารถสังเกตได้ง่ายว่าหญิงคนนั้นกำลังมีครรภ์และมีเงากลดกางกั้นอยู่
เหนือศรีษะ ไม่ว่าจะเดินไปไหนและทำอะไรอยู่กลางแจ้งก็ตาม
ท้าว ปาจิตไม่รอช้า รีบเร่งเสด็จออกเดินทางไปตามคำทำนายของโหรจนกระทั่งมาถึงเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตไม่แน่ใจจึงกางแผนที่ออกดูที่ตรงนั้นเรียกในภายหลังว่า บ้านกางตำรา และเพี้ยนเป็น บ้านจารตำรา ท้าวปาจิตข้ามถนนเพื่อเข้าเขตเมือง บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านถนนแล้วเดินมาตามทางถึงหมู่บ้านหนึ่งมีต้นสนุ่นมาก ได้ชื่อว่า บ้านสนุ่น เลยบ้านสนุ่นก็มาถึงท่าน้ำใหญ่ ปัจจุบันเรียก บ้านท่าหลวง แต่ปรากฎว่าเป็นทางผิด จึงไปอีกทางหนึ่งถึง บ้านสำริด พบหญิงครรภ์แก่ชื่อ “ยายบัว” กำลังดำนาอยู่ เหนือศรีษะของนางมีเงาคล้ายกลดกั้นอยู่ ก็แน่ใจว่าใช่ตามคำทำนาย จึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นใคร มีความประสงค์อะไร และแสดงความตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยทำนาให้จนกว่าจะคลอดลูก หากลูกคลอดออกมาเป็นชายจะยกย่องให้เป็นน้องชาย แต่ถ้าเป็นหญิงจะขอนำไปเป็นมเหสี ซึ่งยายบัวและสามีชื่อ “นายมี”ก็ตกลง และพระองค์ได้ขอร้องไม่ให้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ให้ใครทราบแม้แต่ลูกที่กำลังจะคลอดออกมาก็ตาม
ท้าว ปาจิตอาศัยอยู่กับยายบัวและนายมีเรื่อยมา โดยช่วยทำงานหนักทุกอย่างทั้งๆที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ พระองค์ไม่เคยตกระกำลำบากและลงมือทำเองให้เหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย เช่น ทั้งดำนา เลี้ยงโคกระบือ เกี่ยวข้าว นวดข้าว เป็นต้น จนยายบัวครบกำหนดคลอด จึงได้ไปตามหมอตำแยมาทำคลอด (หมู่บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านตำแยในปัจจุบันนี้) ทารกในครรภ์ของยายบัวก็คลอดออกมาเป็นทารกเพศหญิงตรงตามคำทำนายของโหร ยายบัวตั้งชื่อให้ว่า “อรพิน” แต่ในภาษาท้องถิ่นอีสานจะเรียกว่า “อรพิม” ทารก หญิงนั้นมีหน้าตาน่ารัก สวยงาม และมีผิวพรรณผ่องใส เป็นที่พอใจแก่ท้าวปาจิตยิ่งนัก ท้าวปาจิตต้องทำงานหนักและช่วยดูแลตลอดจนอบรมสั่งสอนนางตั้งแต่เป็นเด็กจน กระทั่งโตเป็นสาวแสนสวยโสภายิ่งนัก ครั้นนางเจริญวัยเป็นสาวสวยก็ได้ผูกสมัครรักใคร่กับท้าวปาจิตเช่นเดียวกัน
ท้าว ปาจิตไม่รอช้า รีบเร่งเสด็จออกเดินทางไปตามคำทำนายของโหรจนกระทั่งมาถึงเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตไม่แน่ใจจึงกางแผนที่ออกดูที่ตรงนั้นเรียกในภายหลังว่า บ้านกางตำรา และเพี้ยนเป็น บ้านจารตำรา ท้าวปาจิตข้ามถนนเพื่อเข้าเขตเมือง บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านถนนแล้วเดินมาตามทางถึงหมู่บ้านหนึ่งมีต้นสนุ่นมาก ได้ชื่อว่า บ้านสนุ่น เลยบ้านสนุ่นก็มาถึงท่าน้ำใหญ่ ปัจจุบันเรียก บ้านท่าหลวง แต่ปรากฎว่าเป็นทางผิด จึงไปอีกทางหนึ่งถึง บ้านสำริด พบหญิงครรภ์แก่ชื่อ “ยายบัว” กำลังดำนาอยู่ เหนือศรีษะของนางมีเงาคล้ายกลดกั้นอยู่ ก็แน่ใจว่าใช่ตามคำทำนาย จึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นใคร มีความประสงค์อะไร และแสดงความตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยทำนาให้จนกว่าจะคลอดลูก หากลูกคลอดออกมาเป็นชายจะยกย่องให้เป็นน้องชาย แต่ถ้าเป็นหญิงจะขอนำไปเป็นมเหสี ซึ่งยายบัวและสามีชื่อ “นายมี”ก็ตกลง และพระองค์ได้ขอร้องไม่ให้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ให้ใครทราบแม้แต่ลูกที่กำลังจะคลอดออกมาก็ตาม
ท้าว ปาจิตอาศัยอยู่กับยายบัวและนายมีเรื่อยมา โดยช่วยทำงานหนักทุกอย่างทั้งๆที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ พระองค์ไม่เคยตกระกำลำบากและลงมือทำเองให้เหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย เช่น ทั้งดำนา เลี้ยงโคกระบือ เกี่ยวข้าว นวดข้าว เป็นต้น จนยายบัวครบกำหนดคลอด จึงได้ไปตามหมอตำแยมาทำคลอด (หมู่บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านตำแยในปัจจุบันนี้) ทารกในครรภ์ของยายบัวก็คลอดออกมาเป็นทารกเพศหญิงตรงตามคำทำนายของโหร ยายบัวตั้งชื่อให้ว่า “อรพิน” แต่ในภาษาท้องถิ่นอีสานจะเรียกว่า “อรพิม” ทารก หญิงนั้นมีหน้าตาน่ารัก สวยงาม และมีผิวพรรณผ่องใส เป็นที่พอใจแก่ท้าวปาจิตยิ่งนัก ท้าวปาจิตต้องทำงานหนักและช่วยดูแลตลอดจนอบรมสั่งสอนนางตั้งแต่เป็นเด็กจน กระทั่งโตเป็นสาวแสนสวยโสภายิ่งนัก ครั้นนางเจริญวัยเป็นสาวสวยก็ได้ผูกสมัครรักใคร่กับท้าวปาจิตเช่นเดียวกัน
จน
ในวันหนึ่งท้าวปาจิตได้บอกถึงฐานะและตัวตนของพระองค์ให้นางทราบ
และขออนุญาตนางบัว นายมี และนางอรพิมว่าตนจะกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตน
เพื่อยกขันหมากจากพระนครธมมารับนางอรพิมไปอภิเษกสมรสตามราชประเพณีที่พระนคร
ธมต่อไป
เมื่อ มาถึงนครธม ท้าวปาจิตได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระเจ้าอุทุมราชพระราชบิดาและพระราช มารดา พระองค์จึงให้จัดขบวนขันหมากอย่างดีและมีจำนวนรี้พลมากมาย เดินทางไปเมืองพิมาย โดยที่หารู้ไม่ว่า บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางอรพิม นั่นคือ “พระเจ้าพรหมทัต” กษัตริย์ผู้ครองเมืองพิมายได้ทราบข่าวความงามของนาง จึงได้ให้ “พระยาราม”และเหล่าทหารไปนำตัวนางมาไว้ในพระราชวัง นางอรพิมสุดที่จะขัดขืนได้จำต้องมา แต่นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ามิใช่ท้าวปาจิตแล้ว ผู้ใดแตะต้องตัวนางก็ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ ดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตจึงแตะต้องตัวนางมิได้ โดยพระเจ้าพรหมทัตพยายามเอาอกเอาใจต่างๆนาๆ และจะพยายามเข้าใกล้นางอรพิม แต่เมื่อเข้าใกล้ตัวนางเมื่อใหรก็รู้สึกร้อนเป็นไฟ จึงได้ถามนางอรพิม นางได้กราบทูลว่าให้รอพี่ชายมาก่อน
เมื่อ มาถึงนครธม ท้าวปาจิตได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระเจ้าอุทุมราชพระราชบิดาและพระราช มารดา พระองค์จึงให้จัดขบวนขันหมากอย่างดีและมีจำนวนรี้พลมากมาย เดินทางไปเมืองพิมาย โดยที่หารู้ไม่ว่า บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางอรพิม นั่นคือ “พระเจ้าพรหมทัต” กษัตริย์ผู้ครองเมืองพิมายได้ทราบข่าวความงามของนาง จึงได้ให้ “พระยาราม”และเหล่าทหารไปนำตัวนางมาไว้ในพระราชวัง นางอรพิมสุดที่จะขัดขืนได้จำต้องมา แต่นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ามิใช่ท้าวปาจิตแล้ว ผู้ใดแตะต้องตัวนางก็ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ ดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตจึงแตะต้องตัวนางมิได้ โดยพระเจ้าพรหมทัตพยายามเอาอกเอาใจต่างๆนาๆ และจะพยายามเข้าใกล้นางอรพิม แต่เมื่อเข้าใกล้ตัวนางเมื่อใหรก็รู้สึกร้อนเป็นไฟ จึงได้ถามนางอรพิม นางได้กราบทูลว่าให้รอพี่ชายมาก่อน
กระบวน
ขันหมากของท้าวปาจิตยกออกจากนครธมมาหลายคืนหลายวัน จนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่ง
(อยู่ในตำบลงิ้ว ปัจจุบันนี้)
ท้าวปาจิตให้ทหารหยุดกระบวนขันหมากเพื่อให้ทหารและสัตว์พาหนะได้พักและ
บริโภคน้ำ ชาวบ้านเห็นผู้คนมากันมากมายจึงเข้ามาไต่ถามว่า มาทำไมและจะไปไหน
พวกทหารตอบว่าจะไปบ้านสำริด
เพราะพระโอรสกษัตริย์แห่งเมืองขอมจะแต่งงานกับสาวบ้านนี้
ชาวบ้านจึงถามชื่อหญิงคนนั้น ทหารบอกว่าชื่อนางอรพิม
ชาวบ้านจึงเล่าให้ฟังว่า
พระเจ้าพรหมทัตได้นำตัวนางเข้าไปไว้ในปราสาทเมืองพิมายเสียแล้ว
ซึ่ง
ทั้งพระเจ้าอุทุมราชและท้าวปาจิตทรงตกพระทัยเป็นยิ่งนัก
โดยเฉพาะท้าวปาจิตโกรธมากถึงกับโยนทรัพย์สินเงินทองข้าวของเครื่องใช้และขัน
หมากทิ้งลงแม่น้ำหมด (ที่ตรงนั้นเรียกว่า “ลำมาศ”หรือ “ลำปลายมาศ”ที่
ไหลไปสู่ลำน้ำมูลจนทุกวันนี้) ส่วนรถทรงก็ตีล้อดุมรถและกงรถจนหักทำลายหมด
ชาวบ้านนำมากองรวมกันไว้จนที่เรียกว่า บ้านกงรถ
เมื่อพระทัยเย็นลงแล้วท้าวปาจิตก็ได้ขออนุญาตพระบิดาไปตามนางกลับคืนมาตาม
ลำพังด้วยพระองค์เอง
ดังนั้นพระเจ้าอุทุมราชและข้าทหารทั้งหลายจึงเดินทางกลับนครธมไปก่อน
ส่วนท้าวปาจิตรีบไปพบยายบัวและนายมี
แล้วปลอบโยนทังคู่ว่าพระองค์จะใช้สติปัญญานำนางอรพิมออกมาให้ได้อย่าง
ปลอดภัย
และได้มอบทรัพย์จำนวนหนึ่งและม้าให้นางบัวและนายมีหลบไปอยู่ที่อื่นสักพัก
หนึ่งก่อนเพื่อความปลอดภัย
แล้วพระองค์ก็ปลอมตัวเป็นลูกชายยายบัวเข้าไปตามหาน้องสาวชื่อ อรพิม
โดยได้ไปบอกนายประตูเมืองพิมายว่าจะขอเข้าไปเยี่ยมน้องสาว
นายประตูถามว่าจะพบใคร ท้าวปาจิตตอบว่า นางอรพิม
ซึ่งจะเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตในไม่ช้านี้ นายประตูจึงพาไปพบนางอรพิม
ครั้นเมื่อนางพบหน้าท้าวปาจิตนางก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก จนนางร้องออกมาว่า “อ้อ! พี่มา!...”๓ ครั้ง (คำนี้เพี้ยนเป็น “พิมาย”อัน
เป็นชื่อเมืองหรืออำเภอพิมาย
จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชของประเทศไทยของเราในปัจจุบันนี้นั้นเอง)
พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาหานางอรพิม และได้มาพบเห็นท้าวปาจิตอยู่กับนางอรพิม
จึงถามว่าเป็นใคร? นางตอบว่าเป็นพี่ชายของนางเอง พระเจ้าพรหมทัตถามว่าทำมาหากินอะไร? ทำไร่ทำนา หรือค้าขายอะไร?
ท้าวปาจิตตอบว่าค้าขายทางไกล
ทราบว่าน้องสาวจะอภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระองค์จึงมาอวยพรให้
และอยากรู้จักกับพระองค์และให้พระองค์รู้จักตนด้วย
พระเจ้าพรหมทัตดีใจอย่างมาก
เพราะนางอรพิมจะได้ยอมเป็นพระมเหสีอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้เสียที
จึงสั่งให้หาเหล้ายาอาหารมาเลี้ยงดูท้าวปาจิตอย่างดี
ท้าวปาจิตจึงดื่มเพียงเล็กน้อย
แต่พระเจ้าพรหมทัตถูกนางอรพิมมอมเหล้าเสียจนเมามายจนเสียสติจนถึงขั้นลวนลาม
นางอรพิมต่อหน้าต่อตาท้าวปาจิต
ท้าวปาจิตจึงใช้พระขรรค์ฟันคอพระเจ้าพรหมทัตขาดสิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั้น
แล้วจึงอุ้มนางอรพิมหนีออกมาทางประตูลับ
ท้าว ปาจิตและนางอรพิมบุกป่าฝ่าดงอย่างทุลักทุเลและยากลำบากจนเดินทางมาถึงป่า ใหญ่แห่งหนึ่ง พอดีเป็นเวลารุ่งสว่างได้พบนายพรานคนหนึ่งชื่อ “พรานนกเอี้ยง” ซึ่งออกมาเที่ยวล่าเนื้ออยู่ พรานนกเอี้ยงเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็นึกรักนาง จึงใช้หน้าไม้ยิงท้าวปาจิตถึงแก่ตายแล้วก็ฉุดพานางไป นางจึงทำเล่ห์กลว่ามีกำลังน้อยเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมากจะเดินทางไปไม่ไหว ถ้ามีรถหรือเกวียนหรือช้างม้าให้นางนั่งไปนางก็ยินดีจะไปด้วย พรานหลงเชื่อจึงไปหากระบือมาให้นางขี่ ตัวนายพรานจึงนั่งข้างหน้าคอยบังคับกระบือ ส่วนนางอรพิมนั่งข้างหลังพอได้โอกาสนางก็ใช้พระขรรค์ของท้าวปาจิตแทงนายพราน ตาย แล้วนางจึงรีบกลับมาที่ศพของท้าวปาจิต นางร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชทุกขเวทนายิ่งนัก จน “พระอินทร์”เกิดความสงสารจึงได้ชวนเอา “พระเวสสุกรรม” แปลงกายเป็น “งู”กับ “พังพอน”สู้ กันให้นางได้เห็น เมื่อพังพอนตาย งูก็ไปกัดเปลือกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยวแล้วพ่นใส่บาดแผลพังพอน พังพอนจึงฟื้นขึ้นมาแล้วก็ต่อสู้กันต่อไป ครั้นงูตายพังพอนก็ทำเช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองผลัดกันตายผลัดกันฟื้นเช่นนี้เป็นเวลาพอสมควรแล้วหายไป นางอรพิมซึ่งเฝ้าสังเกตอยู่ เห็นหนทางที่จะทำให้ท้าวปาจิตฟื้นจึงไปเอาเปลือกไม้นั้นมาเคี้ยวพ่นใส่บาด แผลท้าวปาจิตเช่นกัน ท้าวปาจิตจึงฟื้นขึ้นมาได้อีก แล้วทั้งคู่ก็ได้ช่วยกันเก็บเปลือกไม้นั้นติดตัวไปเท่าที่จะนำไปได้แล้วออก เดินทางต่อไปยังนครธม
หลัง จากรอนแรมกันมาเป็นเวลาพอประมาณ ก็มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งกว้างใหญ่มากไม่มีเรือแพหรือขอนไม้จะข้ามไป ยังฝั่งตรงข้ามได้ จึงนั่งปรึกษาหาหนทางอยู่ ขณะนั้นมีเถรคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียก “เถรเรือลอย” เพราะ เถรลงเรือไปบิณฑบาตตามแม่น้ำเป็นประจำ เถรพายเรือผ่านมา ท้าวปาจิตขอร้องให้ช่วยส่งข้ามฟากให้ด้วย เถรเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็คิดจะพานางไปกับตน จึงบอกว่าเรือลำนี้ขึ้นได้ครั้งละ ๒ คนเท่านั้นมิฉะนั้นเรือจะล่ม ท้าวปาจิตจำต้องให้นางอรพิมไปกับเถรก่อน เถรเจ้าเล่ห์พานางลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ท้าวปาจิตจะเรียกอย่างไรก็มิได้หยุด จึงต้องพลัดพรากกันอีกครั้งหนึ่ง นางอรพิมจำต้องคิดอุบายหนีจากเถรให้ได้ จนกระทั่งมาพบต้นมะเดื่อต้นหนึ่งซึ่งสูงมากและมีลูกดกเต็มต้นและมีผลงาม ๆ น่ากินทั้งนั้น นางบอกเถรว่าอยากกินมะเดื่อ ให้เถรปีนขึ้นไปเก็บมาให้เลือกเอาลูกที่งามที่สุดอร่อยที่สุดสุกที่สุดซึ่ง จะอยู่บนยอดสูงๆ เถรหลงเชื่อปีนต้นไม้ไปหาลูกมะเดื่อที่นางต้องการ นางจึงรีบเอาหนามมากองสุมไว้โคนต้นมะเดื่อนั้นเพื่อไม่ให้เถรสามารถลงมาได้ นั้นเอง แล้วนางก็รีบลงเรือพายหนีไปตามหาท้าวปาจิต ก่อนไปนางได้สั่งไว้เป็นวาจาสิทธิ์ว่าให้เถรอยู่บนต้นมะเดื่ออย่าไปไหน เถรจึงตายอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง ก่อนเถรตายได้แช่งให้มีแมลงหวี่มาเกิดในลูกมะเดื่อทุกลูกไป (จึงปรากฏว่าว่าลูกมะเดื่อมีแมลงหวี่อยู่จนทุกวันนี้)
นาง อรพิมพายเรือกลับมาหาท้าวปาจิตแต่ไม่พบ จึงจอดเรือแล้วขึ้นฝั่งเที่ยวตามหาท้าวปาจิตตามสถานที่ต่างๆ อย่างยากลำบากและตัวคนเดียว จนพระอินทร์เกิดความสงสารจึงลงมาประทานแหวนให้วงหนึ่ง พร้อมกับบอกนางว่า ถ้าสวมไว้ที่นิ้วชี้จะกลายร่างเป็นชายแต่ถ้าถอดออกสวมนิ้วอื่นจะกลายเป็น หญิงดังเดิม นางอรพิมดีใจมาก จึงได้ควักนมทั้งสองข้างออกมาแล้วปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "นมนาง" จากนั้นนางจึงจิกแก้มอันอวบอิ่มจิ้มลิ้มเป็นพวงแล้วเหวี่ยงทิ้งไปกลายเป็น ต้น "แก้มอ้น" และควักโยนีขึ้นปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ" นางจึงสวมแหวนที่นิ้วชี้จึงกลายร่างเป็นชายแล้วเดินติดตามท้าวปาจิตต่อไป พบใครที่ไหนก็สอบถามว่าเห็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไหม? รู้จักคนชื่อท้าวปาจิตไหม? สอบถามจนทั่วแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเห็นเลย นางจึงร่อนเร่ไปโดยอยู่ในเพศชายตามลำพัง
ท้าว ปาจิตและนางอรพิมบุกป่าฝ่าดงอย่างทุลักทุเลและยากลำบากจนเดินทางมาถึงป่า ใหญ่แห่งหนึ่ง พอดีเป็นเวลารุ่งสว่างได้พบนายพรานคนหนึ่งชื่อ “พรานนกเอี้ยง” ซึ่งออกมาเที่ยวล่าเนื้ออยู่ พรานนกเอี้ยงเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็นึกรักนาง จึงใช้หน้าไม้ยิงท้าวปาจิตถึงแก่ตายแล้วก็ฉุดพานางไป นางจึงทำเล่ห์กลว่ามีกำลังน้อยเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมากจะเดินทางไปไม่ไหว ถ้ามีรถหรือเกวียนหรือช้างม้าให้นางนั่งไปนางก็ยินดีจะไปด้วย พรานหลงเชื่อจึงไปหากระบือมาให้นางขี่ ตัวนายพรานจึงนั่งข้างหน้าคอยบังคับกระบือ ส่วนนางอรพิมนั่งข้างหลังพอได้โอกาสนางก็ใช้พระขรรค์ของท้าวปาจิตแทงนายพราน ตาย แล้วนางจึงรีบกลับมาที่ศพของท้าวปาจิต นางร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชทุกขเวทนายิ่งนัก จน “พระอินทร์”เกิดความสงสารจึงได้ชวนเอา “พระเวสสุกรรม” แปลงกายเป็น “งู”กับ “พังพอน”สู้ กันให้นางได้เห็น เมื่อพังพอนตาย งูก็ไปกัดเปลือกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยวแล้วพ่นใส่บาดแผลพังพอน พังพอนจึงฟื้นขึ้นมาแล้วก็ต่อสู้กันต่อไป ครั้นงูตายพังพอนก็ทำเช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองผลัดกันตายผลัดกันฟื้นเช่นนี้เป็นเวลาพอสมควรแล้วหายไป นางอรพิมซึ่งเฝ้าสังเกตอยู่ เห็นหนทางที่จะทำให้ท้าวปาจิตฟื้นจึงไปเอาเปลือกไม้นั้นมาเคี้ยวพ่นใส่บาด แผลท้าวปาจิตเช่นกัน ท้าวปาจิตจึงฟื้นขึ้นมาได้อีก แล้วทั้งคู่ก็ได้ช่วยกันเก็บเปลือกไม้นั้นติดตัวไปเท่าที่จะนำไปได้แล้วออก เดินทางต่อไปยังนครธม
หลัง จากรอนแรมกันมาเป็นเวลาพอประมาณ ก็มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งกว้างใหญ่มากไม่มีเรือแพหรือขอนไม้จะข้ามไป ยังฝั่งตรงข้ามได้ จึงนั่งปรึกษาหาหนทางอยู่ ขณะนั้นมีเถรคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียก “เถรเรือลอย” เพราะ เถรลงเรือไปบิณฑบาตตามแม่น้ำเป็นประจำ เถรพายเรือผ่านมา ท้าวปาจิตขอร้องให้ช่วยส่งข้ามฟากให้ด้วย เถรเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็คิดจะพานางไปกับตน จึงบอกว่าเรือลำนี้ขึ้นได้ครั้งละ ๒ คนเท่านั้นมิฉะนั้นเรือจะล่ม ท้าวปาจิตจำต้องให้นางอรพิมไปกับเถรก่อน เถรเจ้าเล่ห์พานางลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ท้าวปาจิตจะเรียกอย่างไรก็มิได้หยุด จึงต้องพลัดพรากกันอีกครั้งหนึ่ง นางอรพิมจำต้องคิดอุบายหนีจากเถรให้ได้ จนกระทั่งมาพบต้นมะเดื่อต้นหนึ่งซึ่งสูงมากและมีลูกดกเต็มต้นและมีผลงาม ๆ น่ากินทั้งนั้น นางบอกเถรว่าอยากกินมะเดื่อ ให้เถรปีนขึ้นไปเก็บมาให้เลือกเอาลูกที่งามที่สุดอร่อยที่สุดสุกที่สุดซึ่ง จะอยู่บนยอดสูงๆ เถรหลงเชื่อปีนต้นไม้ไปหาลูกมะเดื่อที่นางต้องการ นางจึงรีบเอาหนามมากองสุมไว้โคนต้นมะเดื่อนั้นเพื่อไม่ให้เถรสามารถลงมาได้ นั้นเอง แล้วนางก็รีบลงเรือพายหนีไปตามหาท้าวปาจิต ก่อนไปนางได้สั่งไว้เป็นวาจาสิทธิ์ว่าให้เถรอยู่บนต้นมะเดื่ออย่าไปไหน เถรจึงตายอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง ก่อนเถรตายได้แช่งให้มีแมลงหวี่มาเกิดในลูกมะเดื่อทุกลูกไป (จึงปรากฏว่าว่าลูกมะเดื่อมีแมลงหวี่อยู่จนทุกวันนี้)
นาง อรพิมพายเรือกลับมาหาท้าวปาจิตแต่ไม่พบ จึงจอดเรือแล้วขึ้นฝั่งเที่ยวตามหาท้าวปาจิตตามสถานที่ต่างๆ อย่างยากลำบากและตัวคนเดียว จนพระอินทร์เกิดความสงสารจึงลงมาประทานแหวนให้วงหนึ่ง พร้อมกับบอกนางว่า ถ้าสวมไว้ที่นิ้วชี้จะกลายร่างเป็นชายแต่ถ้าถอดออกสวมนิ้วอื่นจะกลายเป็น หญิงดังเดิม นางอรพิมดีใจมาก จึงได้ควักนมทั้งสองข้างออกมาแล้วปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "นมนาง" จากนั้นนางจึงจิกแก้มอันอวบอิ่มจิ้มลิ้มเป็นพวงแล้วเหวี่ยงทิ้งไปกลายเป็น ต้น "แก้มอ้น" และควักโยนีขึ้นปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ" นางจึงสวมแหวนที่นิ้วชี้จึงกลายร่างเป็นชายแล้วเดินติดตามท้าวปาจิตต่อไป พบใครที่ไหนก็สอบถามว่าเห็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไหม? รู้จักคนชื่อท้าวปาจิตไหม? สอบถามจนทั่วแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเห็นเลย นางจึงร่อนเร่ไปโดยอยู่ในเพศชายตามลำพัง
จนกระทั่งมาถึงเมืองหนึ่ง ชื่อ “เมืองครุฑราช”ซึ่งมีลูกสาวชื่อ “แตงโม”เป็น
หญิงสาวสวยงามและนิสัยดีของเศรษฐีคนหนึ่งพึ่งจะเสียชีวิตลง
รักษาอย่างไรก็ไม่หายนางจึงขออาสารักษาและก็สามารถทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้
เศรษฐีและภรรยาดีใจมาก จะยกสมบัติและให้แต่งงานกับลูกสาวของตน
แต่นางอรพิมไม่ยอมขอเดินทางตามหาญาติต่อไปซึ่งลูกสาวเศรษฐีก็ขอติดตามไปด้วย
จนกระทั่งมาถึง “เมืองจัมปากนคร” โดยที่เมืองจัมปากนครที่นางอรพิมมาถึงนี้ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเมืองมีพระราชธิดาสวยงามมากชื่อ “ปทุมวดี”แต่
ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตาย หมอคนใดก็ช่วยไว้ไม่ได้
ชาวเมืองพากันร้องไห้อาลัยรักนางอยู่ นางอรพิมรู้เข้าก็อยากจะลองช่วยนางดู
จึงให้คนพาไปเฝ้าพระมหากษัตริย์ทูลขออนุญาตรักษา
เมื่อพระองค์อนุญาตนางอรพิมได้ใช้เปลือกไม้ที่ได้จากป่าคราวรักษาท้าวปาจิต
มาเคี้ยวพ่นใส่พระราชธิดาจนฟื้นขึ้น
พระมหากษัตริย์และพระญาติทั้งหลายดีใจมาก
ปรึกษากันว่าจะให้นางอรพิมอภิเษกกับพระธิดา
แต่นางอรพิมบ่ายเบี่ยงว่าขอเวลาสักปีหรือสองปีให้ได้บวชเรียนและศึกษา
ศิลปศาสตร์ให้จบก่อน พระมหากษัตริย์จำต้องยอมตามใจนาง
นาง
อรพิมจึงขอลาไปตามหาท้าวปาจิตด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่าคงจะไม่พบกันเป็นแน่
แล้ว นางได้ไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย
จนมีความรู้แตกฉานมาก
พระในวัดและลูกศิษย์ตลอดจนชาวบ้านต่างก็ยกให้เป็นพระสังฆราช(น่าจะเป็น
ตำแหน่งเจ้าอาวาสในปัจจุบัน)
ซึ่งนางอรพิมได้ให้สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่งแล้วเขียนภาพเล่าเรื่องของนางกับ
ท้าวปาจิตที่ฝาผนังโบสถ์ไว้
เริ่มตั้งแต่แต่ท้าวปาจิตได้อาศัยอยู่กับยายบัวจนถึงตอนนางมาบวชอยู่ที่วัด
นี้ ซึ่งแต่ละตอนละเอียดครบถ้วนกระบวนความ และนางยังสั่งไว้ว่า
หากมีผู้ใดที่มาดูภาพเขียนฝาผนังแล้วร้องไห้ก็ให้คนเฝ้าโบสถ์รีบไปบอกให้ตน
รู้ทันที
วัน
หนึ่งท้าวปาจิตเดินทางรอนแรมมาจนถึงเมืองนี้
ได้ขอเข้าพักอาศัยในโบสถ์แล้วนอนหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย
ครั้นตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบ ๆ เห็นภาพเขียนบนฝาผนังโบสถ์
จึงได้ลุกขึ้นไปเดินดูโดยรอบ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องราวของตนกับนางอรพิม
จึงทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้น
คนเฝ้าโบสถ์เห็นดังนั้นจึงรีบนำความไปเล่าให้พระสังฆราชรู้
พระสังฆราชจึงให้นำท้าวปาจิตไปพบ ท้าวปาจิตได้สอบถามความเป็นมาของรูปเขียน
พระสังฆราชตื่นเต้นดีใจและมีความสุขมากแต่ข่มใจไว้
จึงได้เล่าความจริงให้ฟังและบอกว่าตนคือนางอรพิม
จากนั้นก็ได้ถอดแหวนออกจากนิ้วชี้แล้วสวมที่นิ้วนางแทน
แล้วก็กลายรูปเป็นหญิงตามเดิม
ทั้งสองต่างโผเข้าสวมกอดกันร่ำไห้ด้วยความยินดีและตื้นตันใจเป็นที่สุด
แล้วนางอรพิมก็บอกความจริงกับทุกคน
และขอลาชาววัดและชาวบ้านเดินทางกลับพระนครธม
ตลอดจนได้ขออนุญาตจากเจ้าเมืองจัมปากนครและเศรษฐีเมืองครุฑราชให้ยกลูกสาว
ให้กับท้าวปาจิตแทน
ซึ่งทุกคนต่างก็ตกลงและยินดียกให้เป็นมเหสีของท้าวปาจิตผู้ซึ่งเป็นองค์
รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรขอมนครธมนั้นเอง
เมื่อกลับถึงนครธมพระเจ้าอุทุมราชและพระราชมารดา
ตลอดจนพระประยูรญาติและชาวพระนครทั้งหลายต่างปลื้มปิติและมีความยินดีเป็น
อย่างมาก
จึงจัดให้มีพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้กับท้าวปาจิตและพระมเหสีทั้งสาม
หลังจากนั้นท้าวปาจิตและพระมเหสีทั้งสามก็ได้มาปกครองที่เมืองพิมายอันเป็น
หัวเมืองประเทศราชของนครธมแทนพระเจ้าพรหมทัตที่พึ่งจะสิ้นพระชนม์ไป
โดยพระองค์ได้จัดให้มีพิธีพระราชทานเพลิงและจัดให้สร้างปราสาทไว้เป็น
อนุสรณ์แก่พระเจ้าพรหมทัตที่สวรรคตแล้วนั้นด้วย
โดยพระองค์ได้ทำการปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมและนำความร่มเย็นเป็นสุข
ให้กับเมืองพิมายอยู่เป็นเวลาหลายปี
ครั้น
เมื่อพระเจ้าปทุมราชพระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคต
พระองค์ก็ได้เสด็จกลับพระนครธมและได้รับการอภิเษกให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ
เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรขอมแทน
โดยพระองค์และพระมเหสีทั้งสามได้ทำการปกครองและทำนุบำรุงบ้านเมืองและ
ประเทศราชทั้งหลายให้มีความร่มเย็นเป็นสุขและอยู่ดีกินดีกันโดยทั่วหน้าสืบ
มาจนสิ้นอายุขัย
ที่มา : http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539368380&Ntype=4
วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557
"หมาขี้เรื้อน ... เปลี่ยนหัวใจคนใจดำ"
เรื่องเล่า… มีอยู่ว่า พี่ชิต แกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย
แต่ที่หนัก ก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับ แม่แกบอก มันบาปนะลูก พี่แก
ก็ไม่เคยสนใจ คำเตือนของแม่เลย
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป… ครั้งนั้น มีแม่หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกิน แถวๆ บ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด
ผมเคยถามพี่ชิต ที่กินหมา อยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมไม่กินหมาขี้เรื้อน แกบอก “กินไม่ลงว่ะ"
มีอยู่วันหนึ่ง เนื้อแห้งที่แกตากไว้ หายไป พอมองไป ก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนนั้น วิ่งคาบเนื้อตากแห้ง ของแกอยู่ ความแค้นใจ และการฆ่า ที่อยู่ในสันดาน
พี่ชิตคว้าไม้ ที่ใช้ตีหมาได้ ก็วิ่งตามไป อย่างรวดเร็ว พอตามทัน แกก็ทุบไปทีเดียว หมาขี้เรื้อนนั่น ล้มลงชักทันที (แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้เล็กๆ ธรรมดา ก็ตายได้ นี่คือคน ตีหมาจนชำนาญ)
พี่ชิตทิ้งซากหมา กองไว้อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องเหลียวหน้าไปดูอี ก เพราะตีมาเป็นร้อย ก็ไม่มีทางฟื้น และวันนี้ ด้วยความโมโห พี่ชิตจะกินหมาขี้เรื้อนตัว นี้ ที่ดันมากินเนื้อตากแห้ง และมาหยาม ถึงถิ่นของแก
พี่ชิตเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอุปกรณ์ ในการแล่เนื้อ พร้อมกับสั่งให้ผม เฝ้าซากหมาขี้เรื้อนตัวนี้เ อาไว้ แต่ผมก็มัวแต่เก็บตะขบ จนลืมดู
พอพี่ชิตมาถึง ก็โวยวายกับผมว่า ซากหมาหายไปไหน พร้อมกับวิ่งตาม รอยเลือด หมาขี้เรื้อนตัวนี้ พร้อมกับบ่นว่า... “ทำไมมันไม่ตายวะ”
สักพักหนึ่ง แกก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกก็ตามเสียงไปทันที
พอไปถึง ภาพที่เห็นคือ หมาขี้เรื้อน กำลังจะตาย มันมีลูก ที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อ ที่แม่หมาขี้เรื้อน คาบไปฝาก (เห็นกับตา) แม่หมาขี้เรื้อนตัวนี้ มันตายแล้วฟื้น คงไม่ใช่ แต่ที่มัน ยังไม่ยอมตาย ก็เพราะจิตใจอันเข้มแข็ง ของมัน ที่ปลุกเร้าเยื่อใย ที่คงเหลือ อย่างเหนียวแน่นว่า… ต้องกลับไปให้ได้ เพื่อให้ลูกมันกินนมครับ
การตีของพี่ชิตนั้น กระทบกระเทือน ถึงหัวสมองแตก เลือดสาดเป็นลิ่มๆ แต่มันก็ยัง ลากตัวมันเอง กระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน เพื่อกลับมาหาลูกของมันจนได ้
และสิ่งที่เห็นคือ... การกระทำที่ยิ่งใหญ่ ของความเป็นแม่ ที่รักลูกมากเป็นที่สุด โดยไม่ห่วงตัวจะตาย นี่จิตใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ไม่ว่าสัตว์ หรือคน ก็มีจิตใจเช่นนี้ แม้มันจะตาย ก็ขอให้ลูกพวกมัน ได้อิ่มซักมื้อ
แม่หมาพยายาม อย่างดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจะเชื่อ... นั่นคือ น้ำตา ของแม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันมองผมกับพี่ชิต เหมือนขอร้อง เป็นครั้งสุดท้าย ที่มันต้องการให้นมลูก ก่อนตาย
สายตาของมันเศร้ามาก มันมองผมกับพี่ชิต อย่างวิงวอนทางสายตา ที่ขอร้องของมัน เพื่อขอให้มัน ได้ให้นมลูกของมัน เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตาย
พี่ชิต ไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดู แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ในยามนั้น... สิ่งที่แกเห็น ไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นจิตใจ แห่งความเป็นแม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทนเจ็บปางตาย เพื่อกลับไปหาลูกให้ได้
ไม่พูดอะไร... ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ... สายตาพี่ชิต ที่แข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลง พร้อมกับมีลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้น พร้อมมองไปที่ สายตา ของแม่หมาขี้เรื้อนนั้น อย่างสำนึกผิด และพูดคำว่า "ขอโทษ” พูดได้แค่นั้น แม่หมาก็สิ้นใจตาย อย่างตาหลับ
ผมกับพี่ชิต ช่วยกันฝังแม่หมาตัวนี้... พร้อมๆ กับจิตสำนึก ที่เกิดใหม่ ของพี่ชิต ที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน แกรับเลี้ยง ลูกหมานั้นไว้ ทั้ง 5 ตัว และตั้งแต่นั้น แกกลายเป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนก ยิงหมา ยิงแมวอีก แกบอกว่า... "มันอาจจะมี ลูกรออยู่ก็ได้”
วันเกิดของแม่ ปีที่แล้ว แกเอามะลิ ร้อยเป็นพวง ไปให้แม่ ทั้งๆ ที่ ไม่เคยทำมาก่อน พี่ชิตกราบแม่ พร้อมพูดกับแม่ว่า "แม่ครับ... ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผม ยังไงนะ สอนอีกหน ได้ไหมครับ" แม่แกน้ำตาคลอ พูดไม่ออก
_____________________
เค้ามีชีวิต เหมือนที่คุณมี
เค้ามีหัวใจ เหมือนที่คุณมี
เค้ามีความรัก เหมือนที่คุณมี
ใครซักคนพูดไว้ว่า...
หากคุณลองเลี้ยงสุนัขซักตัว ด้วยรัก แล้วคุณจะรู้ว่า "รักแท้" เป็นเช่นไร
เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป… ครั้งนั้น มีแม่หมาขี้เรื้อน ตัวหนึ่งครับ มันมักวิ่งไปหาของกิน แถวๆ บ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด
ผมเคยถามพี่ชิต ที่กินหมา อยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมไม่กินหมาขี้เรื้อน แกบอก “กินไม่ลงว่ะ"
มีอยู่วันหนึ่ง เนื้อแห้งที่แกตากไว้ หายไป พอมองไป ก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนนั้น วิ่งคาบเนื้อตากแห้ง ของแกอยู่ ความแค้นใจ และการฆ่า ที่อยู่ในสันดาน
พี่ชิตคว้าไม้ ที่ใช้ตีหมาได้ ก็วิ่งตามไป อย่างรวดเร็ว พอตามทัน แกก็ทุบไปทีเดียว หมาขี้เรื้อนนั่น ล้มลงชักทันที (แกบอกว่า หากตีตรงจุด แค่ไม้เล็กๆ ธรรมดา ก็ตายได้ นี่คือคน ตีหมาจนชำนาญ)
พี่ชิตทิ้งซากหมา กองไว้อยู่ตรงนั้น โดยไม่ต้องเหลียวหน้าไปดูอี
พี่ชิตเดินกลับไปที่บ้าน เพื่อเตรียมอุปกรณ์ ในการแล่เนื้อ พร้อมกับสั่งให้ผม เฝ้าซากหมาขี้เรื้อนตัวนี้เ
พอพี่ชิตมาถึง ก็โวยวายกับผมว่า ซากหมาหายไปไหน พร้อมกับวิ่งตาม รอยเลือด หมาขี้เรื้อนตัวนี้ พร้อมกับบ่นว่า... “ทำไมมันไม่ตายวะ”
สักพักหนึ่ง แกก็ได้ยินเสียงหมาเห่า แกก็ตามเสียงไปทันที
พอไปถึง ภาพที่เห็นคือ หมาขี้เรื้อน กำลังจะตาย มันมีลูก ที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังกินนมอยู่
บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อ ที่แม่หมาขี้เรื้อน คาบไปฝาก (เห็นกับตา) แม่หมาขี้เรื้อนตัวนี้ มันตายแล้วฟื้น คงไม่ใช่ แต่ที่มัน ยังไม่ยอมตาย ก็เพราะจิตใจอันเข้มแข็ง ของมัน ที่ปลุกเร้าเยื่อใย ที่คงเหลือ อย่างเหนียวแน่นว่า… ต้องกลับไปให้ได้ เพื่อให้ลูกมันกินนมครับ
การตีของพี่ชิตนั้น กระทบกระเทือน ถึงหัวสมองแตก เลือดสาดเป็นลิ่มๆ แต่มันก็ยัง ลากตัวมันเอง กระเสือกกระสน ล้มลุกคลุกคลาน เพื่อกลับมาหาลูกของมันจนได
และสิ่งที่เห็นคือ... การกระทำที่ยิ่งใหญ่ ของความเป็นแม่ ที่รักลูกมากเป็นที่สุด โดยไม่ห่วงตัวจะตาย นี่จิตใจอันยิ่งใหญ่ของแม่ ที่ไม่ว่าสัตว์ หรือคน ก็มีจิตใจเช่นนี้ แม้มันจะตาย ก็ขอให้ลูกพวกมัน ได้อิ่มซักมื้อ
แม่หมาพยายาม อย่างดีที่สุดแล้วครับ ผมไม่อยากจะเชื่อ... นั่นคือ น้ำตา ของแม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันมองผมกับพี่ชิต เหมือนขอร้อง เป็นครั้งสุดท้าย ที่มันต้องการให้นมลูก ก่อนตาย
สายตาของมันเศร้ามาก มันมองผมกับพี่ชิต อย่างวิงวอนทางสายตา ที่ขอร้องของมัน เพื่อขอให้มัน ได้ให้นมลูกของมัน เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะตาย
พี่ชิต ไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดู แม่หมาขี้เรื้อนตัวนั้น ในยามนั้น... สิ่งที่แกเห็น ไม่ใช่หมาขี้เรื้อน แต่แกเห็นจิตใจ แห่งความเป็นแม่ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งทนเจ็บปางตาย เพื่อกลับไปหาลูกให้ได้
ไม่พูดอะไร... ทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ... สายตาพี่ชิต ที่แข็งกร้าว กลับอ่อนโยนลง พร้อมกับมีลูกหมาตัวหนึ่ง วิ่งไปหาแก กระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้น พร้อมมองไปที่ สายตา ของแม่หมาขี้เรื้อนนั้น อย่างสำนึกผิด และพูดคำว่า "ขอโทษ” พูดได้แค่นั้น แม่หมาก็สิ้นใจตาย อย่างตาหลับ
ผมกับพี่ชิต ช่วยกันฝังแม่หมาตัวนี้... พร้อมๆ กับจิตสำนึก ที่เกิดใหม่ ของพี่ชิต ที่เปลี่ยนไป ราวกับคนละคน แกรับเลี้ยง ลูกหมานั้นไว้ ทั้ง 5 ตัว และตั้งแต่นั้น แกกลายเป็นคนใจดี ไม่ไล่ยิงนก ยิงหมา ยิงแมวอีก แกบอกว่า... "มันอาจจะมี ลูกรออยู่ก็ได้”
วันเกิดของแม่ ปีที่แล้ว แกเอามะลิ ร้อยเป็นพวง ไปให้แม่ ทั้งๆ ที่ ไม่เคยทำมาก่อน พี่ชิตกราบแม่ พร้อมพูดกับแม่ว่า "แม่ครับ... ตอนผมอายุ 16 แม่สอนผม ยังไงนะ สอนอีกหน ได้ไหมครับ" แม่แกน้ำตาคลอ พูดไม่ออก
_____________________
เค้ามีชีวิต เหมือนที่คุณมี
เค้ามีหัวใจ เหมือนที่คุณมี
เค้ามีความรัก เหมือนที่คุณมี
ใครซักคนพูดไว้ว่า...
หากคุณลองเลี้ยงสุนัขซักตัว
สุนทรียสนทนา
สุนทรียสนทนา
Dialogue หรือ สุนทรียสนทนา หมายถึง การสื่อสารภายในองค์กรที่มีลักษณะของการเปิดประเด็นสนทนาโดยกลุ่มคน
เกิดเป็นวงสนทนาที่กำหนดกฎ กติกา มารยาทในการสนทนาไว้ เพื่อสร้างกระบวนการคิดร่วมกันอย่างสร้างสรรค์
ไม่มีความขัดแย้ง ไม่มีบทสรุป เหมาะสำหรับการพัฒนากระบวนการคิด เพื่อสร้างความเข้าใจในระดับที่หยั่งลึก
ทำให้มีการไหลของความหมายที่เรียกว่า Meaning Flow ตกผลึกจนเกิดเป็นชุดความรู้ใหม่ในตัวคนหรือกลุ่มคนที่ลุ่มลึกกว่าชุดความรู้
เดิมที่เคยมี ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า Dialogue คือ เครื่องมือที่ใช้แก้ปัญหาหรือพัฒนาองค์กรในระยะยาว
ดังนั้น จึงไม่ควรเริ่มต้นด้วยการหวังผลในระยะสั้น เพราะผลผลิตของสุนทรียสนทนาจะค่อยๆปรากฏชัดขึ้นๆ
จนกลายเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน
องค์ประกอบสุนทรียสนทนา
สุนทรียสนทนา เน้นการฟังมากกว่าพูด โดยอาจารย์มนต์ชัย พินิจจิตรสมุทร วิทยากรผู้เชี่ยวชาญเรื่อง สุนทรียสนทนา กรุณาให้คำอธิบายว่า
สุนทรียสนทนา ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ ฟัง ไตร่ตรอง ซักถาม และนำเสนอความคิด ทั้งนี้
องค์ประกอบที่ต้องให้ความสำคัญและให้เวลามากที่สุด คือ ฟัง และต้องเป็นการฟังอย่างตั้งใจ
“ฟังให้ได้ยิน” หรือที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า
Deep Listening โดยเทคนิคของการฟังแบบนี้ต้องมีสมาธิตลอดระยะเวลาที่ฟัง
วางชุดความรู้ของตัวเองที่เคยมีเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังฟังลง เปิดใจฟังอย่างเต็มที่
ฟังแล้วคิด ไตร่ตรอง ซักถาม จนเต็มอิ่มและตกผลึกเป็นชุดความรู้ใหม่
ที่อาจารย์ใช้คำว่าReframe แล้ว
จึงค่อยพูดให้คนอื่นฟัง ด้วยน้ำเสียงที่เรียบ แต่ทุกคำพูดเป็นคำพูดที่สร้างสรรค์
ไม่ขัดแย้งกับใคร ไม่สรุปว่า คำพูดของใครผิด ถูก ดี ไม่ดี แต่สรุปด้วยเวลาที่ตกลงกันไว้ก่อนที่จะเริ่มวงสุนทรียสนทนาหากประเด็นใดยัง
คงอยู่ในความสนใจ สามารถเปิดวงสุนทรียสนทนาใหม่ได้ ไม่จำกัดครั้ง
สุนทรียะสนทนากติกาพื้นฐานที่ต้องกำหนด
หลักสำคัญของกระบวนการสุนทรียสนทนาที่ทุกคนควร/ต้องยึดถือร่วมกัน
เป็นกติกาพื้นฐาน คือ
- เปิดโอกาสให้ทุกคนได้นำเสนอความคิดโดยเท่าเทียมกัน ในลักษณะของการเปิดพื้นที่ให้มีอที่ว่าง สำหรับทุกคน
- ไม่พูดนอกประเด็น พูดแทรกระหว่างคนอื่นพูดยังไม่จบ
- ไม่ตัดสิน ไม่สรุป
- ดำรงความเงียบไว้ได้ ตราบที่ทุกคนยังอยู่ในกระบวนการไตร่ตรอง และให้เกียรติผู้พูด
หลักปฏิบัติ Dialogue
• ฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังให้ได้ยิน
• มีความเป็นอิสระ และผ่อนคลาย
• ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้นำ และไม่มีผู้ตาม
• ฟังอย่างลึกซึ้ง ฟังให้ได้ยิน
• มีความเป็นอิสระ และผ่อนคลาย
• ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีผู้นำ และไม่มีผู้ตาม
การจัดการวงสนทนาที่ดี
การจัดการวงสนทนา
ควรคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ภายใต้คำพูดสั้นๆว่า SPEAKING
ดังนี้
1.S Setting หมายถึง ฉาก สถานที่ และเวลาของการทำ Dialogue ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ
กล่าวคือ การจัดสถานที่ ควรจัดให้นั่งเป็นวงกลม ให้ทุกคนในวงสนทนาหันหน้าเข้าหากัน
เพื่อให้สามารถมองเห็นหน้า ซึ่งกันและกันได้หมดทุกคน และให้มีพื้นที่ว่างพอที่ให้ทุกคนจะสามารถเคลื่อนไหวไปมาได้สะดวก
ถ้าหากมีทิวทัศน์ที่สวยงานที่เป็น “ ต้นทุน ” ทางธรรมชาติที่ดีอยู่แล้ว ควรใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด โดยเปิดม่านเพื่อให้สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์
และปลดปล่อยอารมณ์และเป็นที่พักสายตา
2.P Process หมายถึง กระบวนการ Dialogue
เป็นเรื่องของกระบวนการ (Process Determinism) ซึ่งเป็นไปตามเหตุและปัจจัยไม่สามารถคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้ ผู้เข้าร่วมวงสนทนาต้องมีสติอยู่เสมอ
สิ่งที่พูดไม่มีการสรุปหรือสร้างความคิดรวบยอด เพื่อหาคำตอบสุดท้าย และให้ทุกคนคิดเหมือนกันหมด
แต่ถ้าผู้เข้าร่วมวงเชื่อมั่นในเรื่องของกระบวนการ จะเห็นว่า คำตอบจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆ
และเป็นหน้าที่ของผู้เข้าร่วมวงที่จะทำความรู้จักกับคำตอบนั้นด้วยตนเอง คำตอบบางอย่างรู้ได้เฉพาะตัว
อธิบายให้ใครฟังไม่ได้
3.E Ends หมายถึง เป้าหมาย Dialogue
ไม่อนุญาตให้แต่ละคนนำเป้าหมายส่วนตัว หรือวาระส่วนตัวเข้าไปใช้ นอกจากจะมีเป้าหมายเพื่อการฟัง
เรียนรู้ตนเอง และเรียนรู้ผู้อื่นเท่านั้น นอกจากนี้จะต้องหลีกเลี่ยงมิให้มีการตั้งผลลัพธ์ไว้ล่วงหน้า
ไม่นำสิ่งที่เชื่ออยู่ในใจออกมาโต้แย้งประหัตประหารซึ่งกันและกัน Dialogue จึงเหมาะสมสำหรับเริ่มต้นทำงานที่มีความซับซ้อน หลากหลาย หรือต้องการแก้ไขปัญหาที่ยากร่วมกัน
Dialogue จึงไม่มีการโอ้อวด ไม่แนะนำสั่งสอน
หรือหวังจุดประกายให้คนอื่นคิดตาม รวมทั้งไม่โต้แย้ง หรือยกยอปอปั้น หรือตำหนิติเตียน
4.A Attitude หมายถึง การมีเจตคติที่ดีต่อคนอื่น มีจิตใจที่เปิดกว้าง
มีความสุขที่ได้ยินได้ฟังและได้เรียนรู้จากผู้อื่น
Dialogue คือชุมชนสัมมาทิฐิ ไม่เริ่มต้นด้วยการประณามคนอื่น การเสนอแนะให้คนอื่นทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
หรือการพูดถึงปัญหา ซึ่งจะนำไปสู่การโต้เถียง การปกป้อง และการมุ่งเอาชนะกัน
5.K Key Actor หมายถึง คณะทำงานที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ทำหน้าที่ประสานงาน
สร้างฉาก และค้นหาผู้ที่เหมาะสมจะมานั่งพูดคุยกัน เพื่อวัตถุประสงค์ร่วมกันอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งจะรวมความถึง Facilitator ผู้ทำหน้าที่อำนวยความสะดวกให้เป็นไปตามหลักการของกระบวนการ
รวมทั้งแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที โดยสุภาพและไม่ทำให้ผู้ร่วมวงสนทนารู้สึกเสียหน้า
6.I Instrument หมายถึง เครื่องมือของ Dialogue
คือ จะต้องช่วยลดทอนความเป็นทางการของการใช้ภาษาให้มากที่สุด หลีกเลี่ยงถ้อยคำแบบพิธีการ
เช่น ขออนุญาตพูด เพราะการพูดนี้ไม่ต้องขออนุญาตใคร หากผู้พูดคนก่อนพูดจบและมีความเงียบเกิดขึ้นก็สามารถแทรกตนเองขึ้นมาพูดได้
โดยอัตโนมัติ แต่สิ่งที่จะต้องระวังคือพูดสิ่งใดออกไป สิ่งนั้นจะย้อนกลับมาเข้าสู่ตนเอง
ทำให้รู้สึกได้ภายหลัง
7.N Norms of Interaction หมายถึงบรรทัดฐาน ของการปฏิสัมพันธ์
ซึ่งจะต้องมีความเท่าเทียมกัน ทั้งในแง่ของคำพูดและการปฏิบัติ กล่าวคือ จะต้องหลีกเลี่ยงคำพูดและการกระทำทางวาจาใดๆที่แสดงว่าตนเองเหนือกว่า
หรือด้อยกว่าคนอื่น หรือที่แสดงความเหนือกว่าได้แก่ คำพูดแบบแนะนำ อบรม สั่งสอน
โอ้อวด ยกตนข่มท่าน ส่วนคำพูดที่แสดงความด้อยกว่าคนอื่น เช่น คำพูดแบบวิงวอนร้องขอ
คำแนะนำและความช่วยเหลือจากผู้อื่น
8.G Genre หมายถึง ประเภทของการพูดคุย Dialogue
ไม่ใช่การพูดคุยแบบพิจารณาถกเถียงหรือโต้แย้ง ไม่ใช้การบรรยายไม่ใช่การประชุมที่มีประธานทำหน้าที่วินิจฉัย
สั่งการ หรือมีเป้าหมายวาระไว้ล่วงหน้า แต่เป็นการพูดคุยแบบเปิด ไม่มีเป้าหมาย และวาระ
เพื่อสร้างความหมายร่วมกัน แต่หากเป้าหมายจะเกิดขึ้นตามมาในภายหลังก็คงไม่มีใครห้าม
แต่ต้องเกิดภายใต้บริบทของการสร้างความหมายร่วมกัน
การร่วมเรียนรู้จากวงสุนทรียสนทนาจะเกิดประโยชน์มาก
เมื่อทุกคนภายในวงสนทนาเปิดใจและฟังอย่างมีสติและพูดแสดงความคิดเห็นอย่างจริงใจ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)