วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2557

ท้าวปาจิต – นางอรพิม

        ปาจิตตกุมารชาดกนี้เป็นนิทานชาดกเรื่องหนึ่งใน ปัญญาสชาดกอัน เป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์ที่ได้เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ เพื่อบำเพ็ญบุญบารมีให้ครบถ้วน ๓๐ ทัศน์(บารมี ๓๐ ทัศน์) ในการที่จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นองค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้านั่นเอง
            แต่ที่น่าสนใจและน่าตั้งข้อสังเกตก็คือว่า เรื่องราวของชาดกนี้ตรงกันกับเรื่อง ท้าวปาจิต-นางอรพิมซึ่งเป็นตำนานของ เมืองพิมาย(อำเภอ พิมาย จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชของไทยในปัจจุบัน)ซึ่งเกิดขึ้นในยุคขอมเรือง อำนาจในสุวรรณภูมิทวีปแห่งนี้ ราวๆพุทธศตวรรษที่๑๕-๑๖(ยุคนั้นยังไม่มีราชอาณาจักรสยามหรือประเทศไทยของเรา แต่อย่างใด) ซึ่งยังพอมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้สามารถศึกษาค้นคว้าได้จนถึงทุกวันนี้ และเรื่องนี้ก็มีการบอกต่อและเล่าเป็นตำนานและเป็นนิทานพื้นบ้านสืบต่อมาจน กระทั่งถึงทุกวันนี้
            เนื้อเรื่อง(โดยย่อ) :
             ในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ ในดินแดนสุวรรณภูมินี้ ซึ่งมี ท้าวปาจิต ได้เกิดเป็นโอรสของ พระเจ้าอุทุมราชกับ พระอัครมเหสี "สุวรรณเทวี"กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองนครธมแห่งราชอาณาจักรขอมอันยิ่งใหญ่และ เกรียงไกรมากที่สุดในยุคนั้น เมื่อเจริญวัยเป็นหนุ่ม(พระชันษาประมาณ ๑๕ ปี) พระบิดาก็ให้เลือกคู่ครองโดยการให้ทหารไปประกาศเรียกหญิงสาวบรรดามีในมหานคร และหัวเมืองประเทศราชทั้งหลายนั้นมาให้ท้าวปาจิตเลือกเป็นคู่ครอง สาวๆที่มานั้นมีทั้งลูกสาวเสนา อำมาตย์ ข้าราชการ ลูกพ่อค้า ชาวนา ชาวไร่ มากันจนหมดเมือง แต่ท้าวปาจิตไม่สนใจเลยแม้สักคนเดียว จึงมิได้คล้องมาลัยให้สาวคนไหนแต่อย่างใด พระเจ้าอุทุมราชทรงกลุ้มพระทัย จึงได้ให้โหรทำนายโชคชะตาราศีและเนื้อคู่แก่พระโอรส โหรหลวงตรวจดูดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิดแล้วกราบทูลว่าเนื้อคู่ของท้าวปาจิต ยังไม่เกิด ขณะนี้อยู่ในครรภ์หญิงชาวนาผู้หนึ่งในเขตเมืองพิมายอันเป็นเมืองประเทศราช ของนครธมซึ่งอยู่ทางทิศพายัพของพระนครธม โดยท้าวปาจิตจะต้องเดินทางไปหาหญิงผู้นั้นและอภิบาลครรภ์ตลอดจนอบรมและ เลี้ยงดูกุมารีด้วยพระองค์เอง ซึ่งจะสามารถสังเกตได้ง่ายว่าหญิงคนนั้นกำลังมีครรภ์และมีเงากลดกางกั้นอยู่ เหนือศรีษะ ไม่ว่าจะเดินไปไหนและทำอะไรอยู่กลางแจ้งก็ตาม

            ท้าว ปาจิตไม่รอช้า รีบเร่งเสด็จออกเดินทางไปตามคำทำนายของโหรจนกระทั่งมาถึงเขตเมืองพิมาย ท้าวปาจิตไม่แน่ใจจึงกางแผนที่ออกดูที่ตรงนั้นเรียกในภายหลังว่า บ้านกางตำรา และเพี้ยนเป็น บ้านจารตำรา ท้าวปาจิตข้ามถนนเพื่อเข้าเขตเมือง บริเวณนั้นเรียกว่า บ้านถนนแล้วเดินมาตามทางถึงหมู่บ้านหนึ่งมีต้นสนุ่นมาก ได้ชื่อว่า บ้านสนุ่น เลยบ้านสนุ่นก็มาถึงท่าน้ำใหญ่ ปัจจุบันเรียก บ้านท่าหลวง แต่ปรากฎว่าเป็นทางผิด จึงไปอีกทางหนึ่งถึง บ้านสำริด พบหญิงครรภ์แก่ชื่อ ยายบัว กำลังดำนาอยู่ เหนือศรีษะของนางมีเงาคล้ายกลดกั้นอยู่ ก็แน่ใจว่าใช่ตามคำทำนาย จึงเข้าไปแสดงตัวว่าเป็นใคร มีความประสงค์อะไร และแสดงความตั้งใจว่าจะอยู่ช่วยทำนาให้จนกว่าจะคลอดลูก หากลูกคลอดออกมาเป็นชายจะยกย่องให้เป็นน้องชาย แต่ถ้าเป็นหญิงจะขอนำไปเป็นมเหสี ซึ่งยายบัวและสามีชื่อ นายมีก็ตกลง และพระองค์ได้ขอร้องไม่ให้เปิดเผยตัวตนของพระองค์ให้ใครทราบแม้แต่ลูกที่กำลังจะคลอดออกมาก็ตาม

            ท้าว ปาจิตอาศัยอยู่กับยายบัวและนายมีเรื่อยมา โดยช่วยทำงานหนักทุกอย่างทั้งๆที่พระองค์เกิดมาเป็นลูกกษัตริย์ พระองค์ไม่เคยตกระกำลำบากและลงมือทำเองให้เหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย เช่น ทั้งดำนา เลี้ยงโคกระบือ เกี่ยวข้าว นวดข้าว เป็นต้น จนยายบัวครบกำหนดคลอด จึงได้ไปตามหมอตำแยมาทำคลอด (หมู่บ้านนั้นจึงได้ชื่อว่าบ้านตำแยในปัจจุบันนี้) ทารกในครรภ์ของยายบัวก็คลอดออกมาเป็นทารกเพศหญิงตรงตามคำทำนายของโหร ยายบัวตั้งชื่อให้ว่า อรพิน แต่ในภาษาท้องถิ่นอีสานจะเรียกว่า อรพิมทารก หญิงนั้นมีหน้าตาน่ารัก สวยงาม และมีผิวพรรณผ่องใส เป็นที่พอใจแก่ท้าวปาจิตยิ่งนัก ท้าวปาจิตต้องทำงานหนักและช่วยดูแลตลอดจนอบรมสั่งสอนนางตั้งแต่เป็นเด็กจน กระทั่งโตเป็นสาวแสนสวยโสภายิ่งนัก ครั้นนางเจริญวัยเป็นสาวสวยก็ได้ผูกสมัครรักใคร่กับท้าวปาจิตเช่นเดียวกัน
            จน ในวันหนึ่งท้าวปาจิตได้บอกถึงฐานะและตัวตนของพระองค์ให้นางทราบ และขออนุญาตนางบัว นายมี และนางอรพิมว่าตนจะกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของตน เพื่อยกขันหมากจากพระนครธมมารับนางอรพิมไปอภิเษกสมรสตามราชประเพณีที่พระนคร ธมต่อไป
            เมื่อ มาถึงนครธม ท้าวปาจิตได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลต่อพระเจ้าอุทุมราชพระราชบิดาและพระราช มารดา พระองค์จึงให้จัดขบวนขันหมากอย่างดีและมีจำนวนรี้พลมากมาย เดินทางไปเมืองพิมาย โดยที่หารู้ไม่ว่า บัดนี้ได้เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางอรพิม นั่นคือ พระเจ้าพรหมทัตกษัตริย์ผู้ครองเมืองพิมายได้ทราบข่าวความงามของนาง จึงได้ให้ พระยารามและเหล่าทหารไปนำตัวนางมาไว้ในพระราชวัง นางอรพิมสุดที่จะขัดขืนได้จำต้องมา แต่นางได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้ามิใช่ท้าวปาจิตแล้ว ผู้ใดแตะต้องตัวนางก็ขอให้กายนางร้อนเหมือนไฟ ดังนั้นพระเจ้าพรหมทัตจึงแตะต้องตัวนางมิได้ โดยพระเจ้าพรหมทัตพยายามเอาอกเอาใจต่างๆนาๆ และจะพยายามเข้าใกล้นางอรพิม แต่เมื่อเข้าใกล้ตัวนางเมื่อใหรก็รู้สึกร้อนเป็นไฟ จึงได้ถามนางอรพิม นางได้กราบทูลว่าให้รอพี่ชายมาก่อน
      กระบวน ขันหมากของท้าวปาจิตยกออกจากนครธมมาหลายคืนหลายวัน จนมาถึงลำน้ำแห่งหนึ่ง (อยู่ในตำบลงิ้ว ปัจจุบันนี้) ท้าวปาจิตให้ทหารหยุดกระบวนขันหมากเพื่อให้ทหารและสัตว์พาหนะได้พักและ บริโภคน้ำ ชาวบ้านเห็นผู้คนมากันมากมายจึงเข้ามาไต่ถามว่า มาทำไมและจะไปไหน พวกทหารตอบว่าจะไปบ้านสำริด เพราะพระโอรสกษัตริย์แห่งเมืองขอมจะแต่งงานกับสาวบ้านนี้ ชาวบ้านจึงถามชื่อหญิงคนนั้น ทหารบอกว่าชื่อนางอรพิม ชาวบ้านจึงเล่าให้ฟังว่า พระเจ้าพรหมทัตได้นำตัวนางเข้าไปไว้ในปราสาทเมืองพิมายเสียแล้ว
ซึ่ง ทั้งพระเจ้าอุทุมราชและท้าวปาจิตทรงตกพระทัยเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะท้าวปาจิตโกรธมากถึงกับโยนทรัพย์สินเงินทองข้าวของเครื่องใช้และขัน หมากทิ้งลงแม่น้ำหมด (ที่ตรงนั้นเรียกว่า ลำมาศหรือ ลำปลายมาศที่ ไหลไปสู่ลำน้ำมูลจนทุกวันนี้) ส่วนรถทรงก็ตีล้อดุมรถและกงรถจนหักทำลายหมด ชาวบ้านนำมากองรวมกันไว้จนที่เรียกว่า บ้านกงรถ เมื่อพระทัยเย็นลงแล้วท้าวปาจิตก็ได้ขออนุญาตพระบิดาไปตามนางกลับคืนมาตาม ลำพังด้วยพระองค์เอง ดังนั้นพระเจ้าอุทุมราชและข้าทหารทั้งหลายจึงเดินทางกลับนครธมไปก่อน ส่วนท้าวปาจิตรีบไปพบยายบัวและนายมี แล้วปลอบโยนทังคู่ว่าพระองค์จะใช้สติปัญญานำนางอรพิมออกมาให้ได้อย่าง ปลอดภัย และได้มอบทรัพย์จำนวนหนึ่งและม้าให้นางบัวและนายมีหลบไปอยู่ที่อื่นสักพัก หนึ่งก่อนเพื่อความปลอดภัย แล้วพระองค์ก็ปลอมตัวเป็นลูกชายยายบัวเข้าไปตามหาน้องสาวชื่อ อรพิม โดยได้ไปบอกนายประตูเมืองพิมายว่าจะขอเข้าไปเยี่ยมน้องสาว นายประตูถามว่าจะพบใคร ท้าวปาจิตตอบว่า นางอรพิม ซึ่งจะเป็นพระมเหสีของพระเจ้าพรหมทัตในไม่ช้านี้ นายประตูจึงพาไปพบนางอรพิม
ครั้นเมื่อนางพบหน้าท้าวปาจิตนางก็ตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก จนนางร้องออกมาว่า อ้อ! พี่มา!...๓ ครั้ง (คำนี้เพี้ยนเป็น พิมายอัน เป็นชื่อเมืองหรืออำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมาหรือโคราชของประเทศไทยของเราในปัจจุบันนี้นั้นเอง) พระเจ้าพรหมทัตเสด็จมาหานางอรพิม และได้มาพบเห็นท้าวปาจิตอยู่กับนางอรพิม จึงถามว่าเป็นใคร? นางตอบว่าเป็นพี่ชายของนางเอง พระเจ้าพรหมทัตถามว่าทำมาหากินอะไร? ทำไร่ทำนา หรือค้าขายอะไร? ท้าวปาจิตตอบว่าค้าขายทางไกล ทราบว่าน้องสาวจะอภิเษกสมรสเป็นพระมเหสีของพระองค์จึงมาอวยพรให้ และอยากรู้จักกับพระองค์และให้พระองค์รู้จักตนด้วย พระเจ้าพรหมทัตดีใจอย่างมาก เพราะนางอรพิมจะได้ยอมเป็นพระมเหสีอย่างที่เคยลั่นวาจาไว้เสียที จึงสั่งให้หาเหล้ายาอาหารมาเลี้ยงดูท้าวปาจิตอย่างดี ท้าวปาจิตจึงดื่มเพียงเล็กน้อย แต่พระเจ้าพรหมทัตถูกนางอรพิมมอมเหล้าเสียจนเมามายจนเสียสติจนถึงขั้นลวนลาม นางอรพิมต่อหน้าต่อตาท้าวปาจิต ท้าวปาจิตจึงใช้พระขรรค์ฟันคอพระเจ้าพรหมทัตขาดสิ้นพระชนม์อยู่ ณ ที่นั้น แล้วจึงอุ้มนางอรพิมหนีออกมาทางประตูลับ

            ท้าว ปาจิตและนางอรพิมบุกป่าฝ่าดงอย่างทุลักทุเลและยากลำบากจนเดินทางมาถึงป่า ใหญ่แห่งหนึ่ง พอดีเป็นเวลารุ่งสว่างได้พบนายพรานคนหนึ่งชื่อ พรานนกเอี้ยง ซึ่งออกมาเที่ยวล่าเนื้ออยู่ พรานนกเอี้ยงเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็นึกรักนาง จึงใช้หน้าไม้ยิงท้าวปาจิตถึงแก่ตายแล้วก็ฉุดพานางไป นางจึงทำเล่ห์กลว่ามีกำลังน้อยเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยมากจะเดินทางไปไม่ไหว ถ้ามีรถหรือเกวียนหรือช้างม้าให้นางนั่งไปนางก็ยินดีจะไปด้วย พรานหลงเชื่อจึงไปหากระบือมาให้นางขี่ ตัวนายพรานจึงนั่งข้างหน้าคอยบังคับกระบือ ส่วนนางอรพิมนั่งข้างหลังพอได้โอกาสนางก็ใช้พระขรรค์ของท้าวปาจิตแทงนายพราน ตาย แล้วนางจึงรีบกลับมาที่ศพของท้าวปาจิต นางร่ำไห้คร่ำครวญอย่างน่าสมเพชทุกขเวทนายิ่งนัก จน พระอินทร์เกิดความสงสารจึงได้ชวนเอา พระเวสสุกรรมแปลงกายเป็น งูกับ พังพอนสู้ กันให้นางได้เห็น เมื่อพังพอนตาย งูก็ไปกัดเปลือกไม้ชนิดหนึ่งมาเคี้ยวแล้วพ่นใส่บาดแผลพังพอน พังพอนจึงฟื้นขึ้นมาแล้วก็ต่อสู้กันต่อไป ครั้นงูตายพังพอนก็ทำเช่นเดียวกัน สัตว์ทั้งสองผลัดกันตายผลัดกันฟื้นเช่นนี้เป็นเวลาพอสมควรแล้วหายไป นางอรพิมซึ่งเฝ้าสังเกตอยู่ เห็นหนทางที่จะทำให้ท้าวปาจิตฟื้นจึงไปเอาเปลือกไม้นั้นมาเคี้ยวพ่นใส่บาด แผลท้าวปาจิตเช่นกัน ท้าวปาจิตจึงฟื้นขึ้นมาได้อีก แล้วทั้งคู่ก็ได้ช่วยกันเก็บเปลือกไม้นั้นติดตัวไปเท่าที่จะนำไปได้แล้วออก เดินทางต่อไปยังนครธม

            หลัง จากรอนแรมกันมาเป็นเวลาพอประมาณ ก็มาถึงฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่งซึ่งกว้างใหญ่มากไม่มีเรือแพหรือขอนไม้จะข้ามไป ยังฝั่งตรงข้ามได้ จึงนั่งปรึกษาหาหนทางอยู่ ขณะนั้นมีเถรคนหนึ่งซึ่งชาวบ้านเรียก เถรเรือลอยเพราะ เถรลงเรือไปบิณฑบาตตามแม่น้ำเป็นประจำ เถรพายเรือผ่านมา ท้าวปาจิตขอร้องให้ช่วยส่งข้ามฟากให้ด้วย เถรเห็นนางอรพิมสวยงามมากก็คิดจะพานางไปกับตน จึงบอกว่าเรือลำนี้ขึ้นได้ครั้งละ ๒ คนเท่านั้นมิฉะนั้นเรือจะล่ม ท้าวปาจิตจำต้องให้นางอรพิมไปกับเถรก่อน เถรเจ้าเล่ห์พานางลอยน้ำไปเรื่อย ๆ ท้าวปาจิตจะเรียกอย่างไรก็มิได้หยุด จึงต้องพลัดพรากกันอีกครั้งหนึ่ง นางอรพิมจำต้องคิดอุบายหนีจากเถรให้ได้ จนกระทั่งมาพบต้นมะเดื่อต้นหนึ่งซึ่งสูงมากและมีลูกดกเต็มต้นและมีผลงาม ๆ น่ากินทั้งนั้น นางบอกเถรว่าอยากกินมะเดื่อ ให้เถรปีนขึ้นไปเก็บมาให้เลือกเอาลูกที่งามที่สุดอร่อยที่สุดสุกที่สุดซึ่ง จะอยู่บนยอดสูงๆ เถรหลงเชื่อปีนต้นไม้ไปหาลูกมะเดื่อที่นางต้องการ นางจึงรีบเอาหนามมากองสุมไว้โคนต้นมะเดื่อนั้นเพื่อไม่ให้เถรสามารถลงมาได้ นั้นเอง แล้วนางก็รีบลงเรือพายหนีไปตามหาท้าวปาจิต ก่อนไปนางได้สั่งไว้เป็นวาจาสิทธิ์ว่าให้เถรอยู่บนต้นมะเดื่ออย่าไปไหน เถรจึงตายอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง ก่อนเถรตายได้แช่งให้มีแมลงหวี่มาเกิดในลูกมะเดื่อทุกลูกไป (จึงปรากฏว่าว่าลูกมะเดื่อมีแมลงหวี่อยู่จนทุกวันนี้)

            นาง อรพิมพายเรือกลับมาหาท้าวปาจิตแต่ไม่พบ จึงจอดเรือแล้วขึ้นฝั่งเที่ยวตามหาท้าวปาจิตตามสถานที่ต่างๆ อย่างยากลำบากและตัวคนเดียว จนพระอินทร์เกิดความสงสารจึงลงมาประทานแหวนให้วงหนึ่ง พร้อมกับบอกนางว่า ถ้าสวมไว้ที่นิ้วชี้จะกลายร่างเป็นชายแต่ถ้าถอดออกสวมนิ้วอื่นจะกลายเป็น หญิงดังเดิม นางอรพิมดีใจมาก จึงได้ควักนมทั้งสองข้างออกมาแล้วปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "นมนาง" จากนั้นนางจึงจิกแก้มอันอวบอิ่มจิ้มลิ้มเป็นพวงแล้วเหวี่ยงทิ้งไปกลายเป็น ต้น "แก้มอ้น" และควักโยนีขึ้นปาเข้าป่ากลายเป็นต้น "โยนีปีศาจ" นางจึงสวมแหวนที่นิ้วชี้จึงกลายร่างเป็นชายแล้วเดินติดตามท้าวปาจิตต่อไป พบใครที่ไหนก็สอบถามว่าเห็นใครรูปร่างหน้าตาอย่างนี้ไหม? รู้จักคนชื่อท้าวปาจิตไหม? สอบถามจนทั่วแล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้จักหรือเห็นเลย นางจึงร่อนเร่ไปโดยอยู่ในเพศชายตามลำพัง
จนกระทั่งมาถึงเมืองหนึ่ง ชื่อ เมืองครุฑราชซึ่งมีลูกสาวชื่อ แตงโมเป็น หญิงสาวสวยงามและนิสัยดีของเศรษฐีคนหนึ่งพึ่งจะเสียชีวิตลง รักษาอย่างไรก็ไม่หายนางจึงขออาสารักษาและก็สามารถทำให้นางฟื้นขึ้นมาได้ เศรษฐีและภรรยาดีใจมาก จะยกสมบัติและให้แต่งงานกับลูกสาวของตน แต่นางอรพิมไม่ยอมขอเดินทางตามหาญาติต่อไปซึ่งลูกสาวเศรษฐีก็ขอติดตามไปด้วย จนกระทั่งมาถึง เมืองจัมปากนครโดยที่เมืองจัมปากนครที่นางอรพิมมาถึงนี้ พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองเมืองมีพระราชธิดาสวยงามมากชื่อ ปทุมวดีแต่ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรตาย หมอคนใดก็ช่วยไว้ไม่ได้ ชาวเมืองพากันร้องไห้อาลัยรักนางอยู่ นางอรพิมรู้เข้าก็อยากจะลองช่วยนางดู จึงให้คนพาไปเฝ้าพระมหากษัตริย์ทูลขออนุญาตรักษา เมื่อพระองค์อนุญาตนางอรพิมได้ใช้เปลือกไม้ที่ได้จากป่าคราวรักษาท้าวปาจิต มาเคี้ยวพ่นใส่พระราชธิดาจนฟื้นขึ้น พระมหากษัตริย์และพระญาติทั้งหลายดีใจมาก ปรึกษากันว่าจะให้นางอรพิมอภิเษกกับพระธิดา แต่นางอรพิมบ่ายเบี่ยงว่าขอเวลาสักปีหรือสองปีให้ได้บวชเรียนและศึกษา ศิลปศาสตร์ให้จบก่อน พระมหากษัตริย์จำต้องยอมตามใจนาง
นาง อรพิมจึงขอลาไปตามหาท้าวปาจิตด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่าคงจะไม่พบกันเป็นแน่ แล้ว นางได้ไปบวชเป็นพระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งเพื่อศึกษาพระธรรมวินัย จนมีความรู้แตกฉานมาก พระในวัดและลูกศิษย์ตลอดจนชาวบ้านต่างก็ยกให้เป็นพระสังฆราช(น่าจะเป็น ตำแหน่งเจ้าอาวาสในปัจจุบัน) ซึ่งนางอรพิมได้ให้สร้างโบสถ์ขึ้นหลังหนึ่งแล้วเขียนภาพเล่าเรื่องของนางกับ ท้าวปาจิตที่ฝาผนังโบสถ์ไว้ เริ่มตั้งแต่แต่ท้าวปาจิตได้อาศัยอยู่กับยายบัวจนถึงตอนนางมาบวชอยู่ที่วัด นี้ ซึ่งแต่ละตอนละเอียดครบถ้วนกระบวนความ และนางยังสั่งไว้ว่า หากมีผู้ใดที่มาดูภาพเขียนฝาผนังแล้วร้องไห้ก็ให้คนเฝ้าโบสถ์รีบไปบอกให้ตน รู้ทันที
      วัน หนึ่งท้าวปาจิตเดินทางรอนแรมมาจนถึงเมืองนี้ ได้ขอเข้าพักอาศัยในโบสถ์แล้วนอนหลับไปด้วยความเหน็ดเหนื่อย ครั้นตื่นขึ้นมาก็มองไปรอบ ๆ เห็นภาพเขียนบนฝาผนังโบสถ์ จึงได้ลุกขึ้นไปเดินดูโดยรอบ ก็รู้ว่าเป็นเรื่องราวของตนกับนางอรพิม จึงทรุดลงร่ำไห้อยู่ตรงนั้น คนเฝ้าโบสถ์เห็นดังนั้นจึงรีบนำความไปเล่าให้พระสังฆราชรู้ พระสังฆราชจึงให้นำท้าวปาจิตไปพบ ท้าวปาจิตได้สอบถามความเป็นมาของรูปเขียน พระสังฆราชตื่นเต้นดีใจและมีความสุขมากแต่ข่มใจไว้ จึงได้เล่าความจริงให้ฟังและบอกว่าตนคือนางอรพิม จากนั้นก็ได้ถอดแหวนออกจากนิ้วชี้แล้วสวมที่นิ้วนางแทน แล้วก็กลายรูปเป็นหญิงตามเดิม ทั้งสองต่างโผเข้าสวมกอดกันร่ำไห้ด้วยความยินดีและตื้นตันใจเป็นที่สุด แล้วนางอรพิมก็บอกความจริงกับทุกคน และขอลาชาววัดและชาวบ้านเดินทางกลับพระนครธม ตลอดจนได้ขออนุญาตจากเจ้าเมืองจัมปากนครและเศรษฐีเมืองครุฑราชให้ยกลูกสาว ให้กับท้าวปาจิตแทน ซึ่งทุกคนต่างก็ตกลงและยินดียกให้เป็นมเหสีของท้าวปาจิตผู้ซึ่งเป็นองค์ รัชทายาทแห่งราชอาณาจักรขอมนครธมนั้นเอง เมื่อกลับถึงนครธมพระเจ้าอุทุมราชและพระราชมารดา ตลอดจนพระประยูรญาติและชาวพระนครทั้งหลายต่างปลื้มปิติและมีความยินดีเป็น อย่างมาก จึงจัดให้มีพระราชพิธีอภิเษกสมรสให้กับท้าวปาจิตและพระมเหสีทั้งสาม หลังจากนั้นท้าวปาจิตและพระมเหสีทั้งสามก็ได้มาปกครองที่เมืองพิมายอันเป็น หัวเมืองประเทศราชของนครธมแทนพระเจ้าพรหมทัตที่พึ่งจะสิ้นพระชนม์ไป โดยพระองค์ได้จัดให้มีพิธีพระราชทานเพลิงและจัดให้สร้างปราสาทไว้เป็น อนุสรณ์แก่พระเจ้าพรหมทัตที่สวรรคตแล้วนั้นด้วย โดยพระองค์ได้ทำการปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมและนำความร่มเย็นเป็นสุข ให้กับเมืองพิมายอยู่เป็นเวลาหลายปี
            ครั้น เมื่อพระเจ้าปทุมราชพระราชบิดาของพระองค์เสด็จสวรรคต พระองค์ก็ได้เสด็จกลับพระนครธมและได้รับการอภิเษกให้ขึ้นครองราชย์สมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรขอมแทน โดยพระองค์และพระมเหสีทั้งสามได้ทำการปกครองและทำนุบำรุงบ้านเมืองและ ประเทศราชทั้งหลายให้มีความร่มเย็นเป็นสุขและอยู่ดีกินดีกันโดยทั่วหน้าสืบ มาจนสิ้นอายุขัย
ที่มา : http://www.sujipuli.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539368380&Ntype=4

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น