วันศุกร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2560

ปิดไฟฟังนิทาน กุกกุระชาดก พญาสุนัขเจ้าปัญญา





กุกกุรชาดก: พญาสุนัขเจ้าปัญญา, การสงเคราะห์ญาติ

.....ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล พระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายนั่งสนทนากันอยู่ ณ เชตวันมหาวิหารถึงเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงช่วยให้พระประยูรญาติจำนวนมากได้บรรลุธรรม และในจำนวนนั้นมีพระประยูรญาติหลายพระองค์ได้มาเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา มีพระอานนท์ เป็นต้น



.....พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบถึงข้อสนทนานั้น จึงตรัสว่า "มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตได้นำประโยชน์มาสู่หมู่ญาติ แม้ในกาลก่อน ตถาคตก็นำประโยชน์มาสู่หมู่ญาติแล้วเช่นกัน" จากนั้นพระองค์จึงได้ตรัสเล่ากุกกุรชาดก



ครั้งอดีตกาล ในสมัยพระเจ้าพรหมทัตทรงปกครองกรุงพาราณสี



     พระองค์ทรงโปรดการประพาสอุทยานเป็นอันมาก ในการประพาสนั้นพระองค์จะทรงรถม้าพระที่นั่ง พร้อมด้วย เหล่าองครักษ์ติดตามจำนวนหนึ่ง



     วันหนึ่งพระองค์เสด็จประพาสอุทยาน จนกระทั่งเวลาเย็นมาก เมื่อกลับมาถึงยัง

พระราชวัง ราชบุรุษไม่สามารถลากรถไปเก็บได้ในวันนั้น จึงจอดทิ้งไว้นอกโรงรถตลอดทั้งคืน



     ในค่ำวันนั้น มีเมฆฝนตั้งเค้าทมึน ไม่นานฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทั่วทั้ง พระราชวัง ทำให้ราชรถที่จอดทิ้งไว้เปียกชุ่มไปด้วยน้ำ หนังที่หุ้มราชรถจึงอ่อนตัวลง และส่งกลิ่นเหม็นตุๆ

     เมื่อฝนหยุดตกกลิ่นหนังที่เปียกชื้นได้ส่งกลิ่นไปทั่ว  จนไปเข้าจมูกบรรดาสุนัขที่เลี้ยงไว้ในพระราชวัง  พวกสุนัขออกเดินตามกลิ่นไปเรื่อยๆ

     เหล่าสุนัขในวังแทนที่จะเฝ้าดูแลของให้เจ้านายของตน กลับกรูกันเข้ามากัดหนังที่หุ้มราชรถจนพังยับเยิน



     เช้าวันต่อมา ราชบุรุษได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพรหมทัต และกราบทูลว่ามีสุนัขจากนอกวังเข้ามากัดราชรถ

     ด้วยความคิดที่ไม่รอบคอบของพระราชา บรรดาสุนัขนอกวัง จึงถูกฆ่าตายราวกับใบไม้ร่วง



     เหล่าสุนัขนอกวัง ได้รับความยากลำบากจึงปรึกษาหารือเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น

     ณ ป่าช้านอกเมืองพาราณสี บรรยากาศเงียบสงัดปราศเสียงของสิงสาราสัตว์เช่นปกติในป่าทั่วไป

     กลุ่มสุนัขเดินลึกเข้าในป่าช้าจนกระทั่งพบกับสุนัขที่ทำหน้าที่เฝ้าป่าช้าแห่งนั้น เหล่าสุนัขทั้งหลาย จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้พญาสุนัขฟัง

    จากนั้น พญาสุนัขจึงระลึกถึงบุญบารมีที่ได้สั่งสมไว้พร้อมกับอธิษฐานว่า

"ด้วยบุญบารมีที่ข้าพเจ้าสร้างสมมาดีแล้ว และด้วยจิตเมตตาที่จะช่วยสรรพ

สัตว์ทั้งหลาย ขอจงช่วยคุ้มครองอย่าให้ใครทำร้ายหรือคิดร้ายต่อข้าพเจ้าเลย"

    ภายในตัวเมืองพาราณสี มีผู้คนเดินไปมาอยู่ทั่วไปพร้อมทั้งเหล่าทหารของพระราชา แต่ทหารเหล่านั้น ก็ไม่สามารถทำร้าย พญาสุนัข ได้ ทั้งไม่มีจิตที่คิดจะทำร้ายเลยแม้แต่น้อย

   พญาสุนัข เดินเข้าไปจนถึงในวัง แม้ พระเจ้าพรมทัตเอง ก็ยังทรงมีพระเมตตาต่อ พระญาสุนัขด้วยเช่นกัน กล่าวกับพญาสุนัขว่า

" บอกมาซิ เจ้าเข้ามาในวังของเราทำไมรึ? "

พญาสุนัขกว่าวตอบว่า

" ข้าพระพุทธเจ้าได้ทราบว่า พระองค์มีรับสั่งให้ ราชบุรุษฆ่าสุนัขทุกตัวจริงหรือ พระเจ้าข้า? "

พระเจ้าพรมทัต

" จริง เพราะสุนัขทั้งหลาย กัดแทะหนังหุ้มาชรถของเราเสียหาย "

พญาสุนัข



" เมื่อแรกตรัสว่าให้ฆ่าสุนัขทุกตัว แล้วเหตุใดจึงทรงยกเว้นสุนัขในวังเล่าพระเจ้าข้า เช่นนี้จะไม่เป็นการลำเอียงเข้าข้างสุนัขของพระองค์เองหรอกหรือ ธรรมดาพระมหากษัตริย์ย่อมทรงไว้ซึ่ง ความยุติธรรมอตจตราชู ยึดมั่นในราชธรรมอย่างเคร่งครัด สุนัขของท่านเองท่านไม่ให้ฆ่า กลับสั่งฆ่าสุนัขอื่นๆที่บริสุทธิ์ "

พระเจ้าพรมทัต

" สุนัขที่เราเลี้ยงไว้ทุกตัวได้รับการฝึกฝนอบรมอย่างดีย่อมจะไม่กัดกินหนังหุ้มราชรถของเราเอง เจ้าบังอาจกว่าวว่าเราสั่งฆ่าผู้บริสุทธิ์เจ้ารู้หรือว่าใครเป็นตัวการ "

พญาสุนัข

" สุนัขในวัง เป็นตัวการ พระพุทธเจ้าข้า ข้าพเจ้ามีวิธีพิสูจน์ "

     พญาสุนัข บอกให้ เอาน้ำมันเปรียงขยำกับหญ้า ให้สุนัขในวังกิน สุนัขในวังกินแล้ว สำรอก(อ๊วก) ออกมา มีเศษหนังหุ้มราชรถออกมาด้วย ทำให้ความจริงปรากฎ

     พระเจ้าพรมทัต จึงสั่งให้ไล่สุนัขในวังออกไป และยกเลิกคำสั่งฆ่าสุนัขทั้งหลายเสีย และกล่าวกับ พญาสุนัขว่า

" แม้เจ้าเป็นสัตว์เดียรัจฉาน แต่ก็มีความอาจหาญ กล้าเอาชีวิตตนเองเสี่ยงกับความตาย เพื่อความยุติธรรม และความสงบสุขของหมู่ญาติทั้งปวงของเจ้า "

     พระเจ้าพรหมทัตทรงซาบซึ้งพระทัยยิ่งนัก โปรดให้กั้นเศวตฉัตรแก่พญาสุนัข พญาสุนัขจึงแสดงทศพิธราชธรรมถวายและขอให้พระองค์ตั้งมั่นอยู่ในศีลห้า ให้บำรุงพระชนกชนนี ดำรงอยู่ในความไม่ประมาทตลอดไป แล้วถวายเศวตฉัตรคืนตั้งแต่นั้นพระองค์โปรดให้นำอาหารอย่างดีไปเลี้ยงสุนัขทั้งหลายตลอดไป และทรงห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ทั้งหลายในกรุงพาราณสี พระองค์และข้าราชบริพารต่างประพฤติตามโอวาทของพญาสุนัข ครั้นละโลกต่างไปบังเกิดในสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น

:: ข้อคิดจากชาดก ::

.....๑. เมื่อเกิดเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นในบ้านหรือในที่ทำงาน ควรเฉลียวใจถึงบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดกับเราด้วย มิฉะนั้น เราอาจจะลงโทษผิดคนได้ โบราณจึงมีข้อเตือนใจ เช่น หนอนบ่อนไส้ เป็นต้น

.....๒. ความอยุติธรรมทั้งหลาย มักเกิดจากความลำเอียง ๔ ประการคือ ลำเอียงเพราะรัก ชัง กลัว และหลง

.....๓. พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงมงคลชีวิตในมงคลที่ ๑๗ ว่า การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอันสูงสุด เมื่อเรามีความผาสุก หรือเมื่อต้องการความช่วยเหลือในเรื่องใดๆ ญาติของเราอาจช่วยเราได้

การสงเคราะห์ญาติเป็นมงคลอันสูงสุด พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตประพฤติประโยชน์แก่พระญาติทั้งหลายในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ประพฤติแล้วเหมือนกัน ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในกาลนั้น ได้เป็นพระอานนท์ บริษัทที่เหลือนอกนี้ ได้เป็นพุทธบริษัท ส่วนกุกกุรบัณฑิตคือเราแล

Cr : http://www.kkdee.com/nithan/index/story/var/181

Cr : https://www.youtube.com/watch?v=upxb5RIB_II

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น