วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

อาหาร 10 อย่างที่ทำให้แก่เร็วขึ้น



การลดอาหารบางอย่างอาจช่วยคุณชะลอความแก่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งเครื่องสำอางค์ในการชะลอความแก่เลย ไปดูกันว่า อาหาร 11 อย่างที่คุณควรหลีกเลี่ยงหากไม่อยากแก่ก่อนวัยมีอะไรบ้าง 


1. น้ำตาล - น้ำตาลจะไปจับตัวกับคอลลาเจนในร่างกาย ทำให้ผิวหนังของคุณไม่ยืดหยุ่น จนเกิดรอยเหี่ยวย่นลึก ซึ่งจะทำให้คุณดูแก่ขึ้น 


2. ไขมันอิ่มตัว - โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวที่มีทรานส์ไอโซเมอร์สูง เช่นเนื้อวัว เฟรนช์ไฟรส์ ส่งผลให้เส้นเลือดอุดตัน และผิวหนังดูแก่ขึ้น 


3. เกลือ - เกลือจะไปดูดซึ่มน้ำในร่างกาย ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความเสี่ยงในการเป็นโรคไต ความดันในเลือดสูง และชะลอดูดซึมสารอาหารเข้าสู่กระดูก 


4. กาแฟ - กาแฟจะดูดซึมน้ำในร่างกาย และทำให้ดูเหนื่อยล้า 


5. ลูกอม - น้ำตาลในลูกอม ส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในร่างกาย และทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น


6. สารให้ความหวานเทียม - เช่น แอสปาแตม ส่งผลให้เกิดอาการปวดหัวและปวดข้อ และทำให้อยากน้ำตาลมากขึ้น


7. แอลกอฮอล์ - แอลกอฮอลจะดูดซึมน้ำในร่างกาย ทำให้เกิดรอยเหี่ยวย่น ชลอการจับตัวกันของคอลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้เกิดจุดแดงและอาการบวม


8. เครื่องดื่มชูกำลัง - เครื่องดื่มชูกำลังทำลายสารเคลือบฟันมากกว่าดื่นน้ำอัดลมถึง 8 เท่า ทำให้ฟันเหลืองและฟันไม่แข็งแรง 


9. คาร์โบไฮเดรท - คาร์โบไฮเดรทจำนวนมากเกินไปจะทำลายคอลาเจนและเส้นใยใต้ผิวหนัง 


10. อาหารทอด - การบริโภคอาหารทอด ทำให้จับตัวกันของคอลาเจนใต้ผิวหนังช้าลง ส่งผลให้ผิวหนังเหี่ยวย่น 


11. น้ำอัดลม - การดื่มน้ำอัดลมทำให้ร่างกายขาดน้ำ และอ่อนเพลีย 

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

จากใจหมา



จากใจของหมา





1. ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้น

การต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของ

ฉัน..จึงโปรดสังวรให้จงหนักก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต

2.ให้เวลากับฉันสักหน่อยเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน

3. จงเชื่อมั่นในตัวฉัน
เพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน

4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขัง
เธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหาย
แต่ฉันนั้น..มีเพียงเธอ

5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูด
แต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง

6. พึงระลึกอยู่เสมอว่า...ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉัน
ฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย

7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้
แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย

8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้าน
ขอจงได้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่
บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร หรือถูกทิ้งไว้กลางแดดนานเกินไป
หรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว

9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น

10. อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึง
ขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า "ฉันทนดูไม่ได้ ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย" เพราะ
เรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหากเธออยู่ด้วย






ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.soccersuck.com/

วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

จากชีวิตไฮคลาสสุดหรู สู่พระป่า

จากชีวิตไฮคลาสสุดหรู สู่พระป่า


ทุกๆเย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู เพื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึงสามปี

เป็นระยะเวลา 30 กว่าปีแล้วที่พระอาจารย์ สุมโน ภิกขุ พระฝรั่ง อดีตชาวเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสุขสบายในชีวิตฆราวาส แล้วหันเหตัวเองสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ เพื่อดำเนินชีวิตในวิถีทางที่สันโดษและเรียบง่าย ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา

สิ่งที่ทำให้อดีตนักศึกษาด้านกฎหมายและนักธุรกิจด้านตีราคาที่ดินทั้งของรัฐและเอกชน ผู้เคยใช้ชีวิตระดับไฮคลาส เดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินชั้นธุรกิจ (Business Class) พักแต่โรงแรมระดับห้าดาว และมีเงินเหลือเฟือพอที่จะเที่ยวรอบโลก ได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่หลายคนพยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะไปให้ถึง เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งเขาลืมตาตื่นื่ขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว

พระอาจารย์ สุมโน ซึ่งอดีตเคยนับถือ ศาสนายิว บอกเล่าว่า รู้จักพระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อตอนที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นมัธยมปลาย ด้วยความที่มีนิสัยเป็นคนชอบอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ไปเจอหนังสือบางเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาวางอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด

แรกเริ่มพระอาจารย์ให้ความสนใจเรื่องการนำหลักการฝึกสมาธิของทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากกว่า ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาศาสนาหลายศาสนาและหลายนิกาย โดยเคยเข้าคอร์สที่มีการอบรมด้านพระพุทธศาสนาอยู่หลายคอร์ส และใช้เวลาปลีกวิเวกอยู่แต่ในห้องโดยไม่ไปไหนเลย เป็นเวลานาน 2-3 ปี

ในวัย 32 ปี เมื่อได้ทิ้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจแล้ว และเริ่มมีใจลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์เห็นว่า การฝึกสมาธิอย่างเดียวช่วยอะไรได้น้อยมาก จึงมีความสนใจ อยากจะศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น แต่เวลานั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบวช
ช่วงเวลาที่ท่านกำลังจะเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียนั้น ระหว่างทางได้ไปแวะที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ เพราะเพื่อนของพระอาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักวัดแห่งหนึ่งที่นี่ ซึ่งเมื่อสมัยที่ท่านไปเยือนครั้งแรกนั้นยังไม่ได้เป็นวัด แต่ต่อมาได้กลายมาเป็น วัดจิตตวิเวก (วัดป่าสาขาวัดป่าหนองป่าพงแห่งแรกในประเทศอังกฤษ) ที่ช่วงเวลานั้นมี พระสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก เมื่อเริ่มแรกตั้ง วัดในพ.ศ. 2522

พระอาจารย์ยังจำได้ว่า ทุกๆเย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู พื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึงสามปี จึงทำให้ความตั้งใจที่จะไปอินเดียในครั้งนั้นเป็นอันต้องล้มเลิก และในที่สุดจึงตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้ 35 ปี

นอกจากวัดจิตตวิเวก พระอาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัดอีกแห่ง คือ วัดอมราวดี แต่ด้วยสเกลที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน จึงไม่อยากใช้เวลาให้หมดไปกับการเป็นช่าง แต่อยากศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามากกว่า

วันหนึ่งเมื่อเดินทางสู่ประเทศไทย ทำให้พระอาจารย์มีได้มีโอกาสแวะเวียนไปกราบไหว้ และเรียนรู้ธรรมะจากพระชื่อดังหลายรูปในประเทศไทย อาทิ ท่านพุทธทาสภิกขุ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และ หลวงพ่อชา สุภัทโท

โดยเฉพาะหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ที่พระอาจารย์รู้สึกเลื่อมใสศรัทธามากเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพราะเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาของท่านที่อังกฤษ พระอาจารย์จึงไม่รีรอที่จะเดินทางสู่ภาคอีสาน ไปยังที่พำนักของหลวงพ่อชา เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์

สิ่งที่พระอาจารย์ได้เรียนรู้จากหลวงพ่อชาและรู้สึกประทับใจคือ

“ในทัศนะของหลวงพ่อ พระอาจารย์ชาเป็นพระที่มีจิตบริสุทธิ์มาก และสามารถระลึกรู้ในสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องคิด ทำให้หลวงพ่อรู้สึกว่าทึ่ง

มันจะมีคำว่าดี ถูกต้อง และความเหมาะสมใช่ไหม เวลาที่เราต้องเผชิญกับอะไรสักอย่าง เรามักจะคิดก่อนว่าต้องทำอย่างไรดี ทำอย่างไรถึงจะถูก พอเป็นอย่างนั้นมันจะเกิดการคิด เพราะเราต้องคิดถึงว่า ค่านิยม กาลเทศะ กับบุคคลเหล่านี้เราต้องทำอย่างไร พอมันเกิดการคิด มันต้องคำนึงถึงอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันขณะแล้ว เราจึงคิดตัดสิน ว่าเราต้องทำอย่างไรจากสิ่งที่เราเคยได้ยินเคยได้เห็น แต่พระอาจารย์ชาท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น การแก้ปัญหาของท่านเป็นการรู้จากปัจจุบันขณะและใช้คำว่าเหมาะสม”

เมื่อหลวงพ่อชามรณภาพ พระอาจารย์จึงออกธุดงค์ไปตามพื้นที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กระทั่งสุดท้ายได้เลือกพำนักอยู่ที่ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา ในเขตพื้นที่เขาใหญ่ หลังจากที่เคยธุดงค์ไปพบเพียงแค่คืนเดียว ด้วยเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะต่อการปฏิบัติ การเดินทางเข้าออกค่อนข้างลำบาก แม้แต่รถยนต์ ก็เข้าไม่ได้ จึงทำให้ปลอดความวุ่นวายจากสิ่งต่างๆ นับ จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว

“ตอนนี้แก่แล้ว ไปที่ไหนไม่ได้แล้ว” พระอาจารย์บอก เล่าด้วยอารมณ์ขันเมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงเลิกธุดงค์และเลือกสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตาเป็นที่พำนักสุดท้ายของชีวิต

วัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้ ทุกวันจะต้องตื่นจากจำวัดตอนตีสี่ เพื่อนั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เดินจงกรม และฟังธรรมะ แม้แต่ในยามที่ย่ำเท้าไปบนถนนสายเล็กๆที่ทุรกันดารสู่หมู่บ้าน เพื่อไปบิณฑบาต ระหว่างทางก็ยังต้องอาศัยฟังธรรมบรรยายผ่านเครื่องเล่น MP3

ลูกศิษย์บางคนที่ใกล้ชิดพระอาจารย์บอกเล่าว่า

“แม้หลวงพ่อจะมีความลึกซึ้งในหลักธรรมจนสามารถนำมาสอนผู้อื่นได้แล้ว แต่หลวงพ่อก็ยังต้องฟังธรรมบรรยายจากพระรูปต่างๆ เพื่อนำมาสอนผู้คนอยู่ และน้อยครั้งมากที่หลวงพ่อจะเดินทางเข้าเมือง ขนาดหมอนิมนต์ให้มาทำฟัน ท่านก็ยังไม่มา”

แต่พระอาจารย์สุมโนได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการเขียนหนังสือ เพราะเห็นว่า หน้าที่หนึ่งของพระคือการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเผยแพร่หลักธรรมไปสู่ผู้คนให้มากที่สุด ที่ผ่านมานอกจากท่านจะมีผลงานแปลธรรมเทศนาของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และหลวงพ่อชา สุภัทโท แล้ว ยังมีผลงานเขียนชื่อ ธรรมะจากพระภูเขา (Monk in the Mountain) จิตที่สว่างไสว (The Brightened Mind) และ พบลิงแค่ครึ่งทาง (Meeting the Monkey Halfway) โดยเป้าหมายที่เหมือนกันของผลงานเขียนทั้งสามเล่มคือ ต้องการสอนให้ผู้คนรู้จักการเจริญสติ รู้จักการใช้ปัญญา เพราะถ้าคนเราไม่มีปัญญา มีแต่ตัวตนเกิดขึ้น ก็จะเกิดความเห็นแก่ตัว

ส่วนเหตุที่ควรต้อง “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ผลงานเขียนเล่มล่าสุดของพระอาจารย์ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย อานุภาพ ทัดพิทักษ์กุล และจัดพิมพ์โดย บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด ได้บอกเอาไว้ว่า

ในปรัชญาธรรมอันเก่าแก่ของเอเชียตะวันออก ลิงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของจิตที่มีลักษณะไม่อยู่นิ่ง ยุกยิก คอยกระโดดจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสื่งหนึ่ง ไม่เชื่อฟัง ผันแปรเปลี่ยนแปลงง่าย และด้วย “จิตที่เหมือนลิง” นี้ แนวทางการฝึกฝนจิตของโลกตะวันออก อาทิ การปฏิบัติกรรมฐาน โยคะ และการสวดท่องมนต์ ก็เป็นวิธีการต่างๆที่พยายาม จัดการกับจิตที่ซุกซน

“ครึ่งทาง” หมายถึงอุบายอันชาญฉลาดในการบริหารจิต เป็นวิธีที่ไม่ตึงหรือแข็งกระด้างจนเกินไป และก็ไม่หย่อนยานจนเกินไป “ครึ่งทาง” เป็นทัศนคติที่ตั้งอยู่บนหลักการของความสมดุลเป็นกลาง ไม่ถูกกระทบโดยอาการไม่อยู่นิ่งของจิตที่กระโดดไปกระโดดมา

“การพบ” แสดงออกถึงความอุตสาหะที่จะบรรลุเป้าหมาย มันหมายถึงความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการทำจิตซึ่งเป็นสิ่งที่สงบได้ยาก ให้เกิดความตั้งมั่นและเป็นกลาง และด้วยความพยายามที่มุ่งมั่นนี้ ประกอบกับความพากเพียร ซื่อตรง ภายใต้การกำกับดูแลของปัญญา ทำให้เราสามารถเข้าถึงการเจริญในธรรมที่นำไปสู่หนทางอันถูกต้อง เพื่อที่เราจะได้ “พบลิงที่ครึ่งทาง” นั่นเอง

ในวันที่พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ เดินทางออกจากสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา เพื่อมาบรรยายธรรมและเปิดตัวผลงานเขียน “พบลิงแค่ครึ่งทาง” ณ สวนโมกข์ กรุงเทพฯ หลังจากที่ละทิ้งความสุขทางโลกมา 30 กว่าปี พระอาจารย์ซึ่งตอนนี้พูดภาษาไทยภาคกลางได้มากแล้ว (แต่เว้าอีสานได้ชัดกว่า) ได้บอกถึงความแท้จริงในทัศนะของพระอาจารย์ให้ผู้คนได้ฟังว่า

“ถ้าไม่มีความอยาก จะได้รับความสุขทันทีเลย”

แล้วเราจะระงับซึ่งความอยาก ด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง ? พระอาจารย์ได้กล่าวต่อไปว่า

“ให้รู้ว่าความอยากมีแต่ความทุกข์ มากกว่าความสุข เพราะถ้าเรามีความอยาก เราก็ต้องไปดิ้นรนไปหาไปทำมา ตอนที่เรากำลังหากำลังทำอยู่ เรามีความสุข อย่างเช่นการ สะสมเงิน เพราะอยากจะได้แหวนเพชรสักวง ตอนที่ใกล้จะได้มา เรารู้สึกดีใจ พอไปที่ร้านถอยมันมาได้ ความสุขก็จบแล้ว เพราะช่วงเวลาที่เราอยากได้มันหมดไปแล้ว ทีนี้ก็จะดิ้นรนไปอยากได้อย่างอื่นต่อ”

และเมื่อถูกถามว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีความอยาก มีแต่การปล่อยวาง โลกจะไม่หยุดพัฒนา หยุดการเจริญรุดหน้าหรืออย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า

“เคยมีคนถามหลวงพ่อว่า ถ้าทุกคนบวชเป็นพระกันหมด โลกนี้จะพัฒนาไปอย่างไร หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องห่วง มีคนที่สมัครใจบวชเป็นพระ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน เหมือนกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นช่างเสริมสวย(หัวเราะ)

และในความเห็นของหลวงพ่อ โลกนี้ไม่ต้องเจริญ อีสานที่หลวงพ่อเคยอยู่ มีคนบอกว่าความเจริญเป็นสิ่งดี โอ้.. อยากให้เมืองนี้เจริญ วารินชำราบเจริญ อุบลฯ เจริญ แต่หลวงพ่อคิดว่า ความเจริญไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป เพราะถ้าเจริญแบบไม่มีปัญญาก็จะมีปัญหามากขึ้น อย่างเมืองไทยเจริญขึ้น แต่ความสุขกลับน้อยลงตลอด ไม่เหมือนประเทศภูฏาน ประเทศเขาไม่เจริญ แต่มีความสุข”

แม้พระอาจารย์จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวต่างชาติจากประเทศตะวันตก ที่เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันออก เรียนรู้และศึกษาจิตวิญญาณตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา แต่พระอาจารย์ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า ตนเองเป็นหนึ่งในคนตะวันตกจำนวนมากที่หันมาสนใจจิตวิญญาณตะวันออก เพราะอาจจะเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยก็ได้ หรือแม้แต่เวลานี้ก็ตาม ถามว่าคนตะวันตกสนใจจิตวิญญาณตะวันออกมากขึ้นหรือไม่ พระอาจารย์ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันตกมานานแล้ว

“หลวงพ่อไม่ได้อยู่ในประเทศตะวันตกมาสามสิบกว่าปีแล้ว หลวงพ่อรู้แต่ว่าเมื่อก่อนคนตะวันตกอยากมาเมืองไทยเพราะสนใจในประเพณีวัฒนธรรม เป็นแบ็คแพ็คเกอร์มาเที่ยว หรือนั่งเครื่องบินไปเที่ยวทะเล เที่ยวเกาะสมุยโน่น แต่ไม่ค่อยมีใครมาวัด มาอีสาน มีแต่มาเอาอย่างเดียว ไม่มีใครอยากให้อะไร”


หลายปีที่ผ่านมา อาจทำให้พระอาจารย์รู้จักประเทศไทย และเห็นความเป็นไปของประเทศไทยในหลายๆด้าน แต่พระอาจารย์ก็ออกตัวว่า ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยหรือคนไทยมากเท่าใดนัก มีเพียงบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนไทยคือ มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่กำลังตกอยู่ในวังวนของความอยากและการโฆษณา ชวนเชื่อ ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังไม่พอ และยังไม่ดีพอเสียที


“ทุกคนอยากมีรถคันใหม่ อยากมีโทรศัพท์ อยากมีโน่นอยากมีนี่ มีความอยากไปในทางโลกเสียมากกว่า และการโฆษณาก็ทำให้พวกเขาคิดว่าชีวิตฉันยังไม่พอ และรู้สึกว่าฉันยังไม่ดีพอ ฉันต้องรวยให้มากกว่านี้ หรือฉันต้องสวย ต้องขาวให้มากกว่านี้”

ปี พ.ศ.2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ประเทศไทยต้องประสบ กับปัญหาภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมนุษย์นี่เองที่เป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ซึ่งพระอาจารย์ได้แนะวิธีที่จะช่วยให้เราเบียดเบียนธรรมชาติให้น้อยที่สุดว่า

“ต้องรักษาศีลห้าก่อน เพราะถ้าไม่รักษาศีลห้า เราก็จะเป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ปัญหาที่อยากแก้ก็จะไม่สามารถแก้ได้ และอยากให้ทุกคนมีสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตใจของเราสบาย มีความอยากน้อยลง มีสติ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้น

ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็จะไม่เข้าใจอดีต และทำในสิ่งที่ ผิดพลาดเหมือนเดิมไปตลอด เหมือนเราเคยเสียใจ เพราะอกหักจากผู้ชายคนนี้ ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาทำความเข้าใจว่าทำไม เราก็จะอกหักได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้น ปัญญาช่วยให้เรา สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว

จริงๆแล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นประภัสสร นั่นคือบริสุทธิ์ รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เพราะว่าจิตของเรารับอะไรเข้ามาเยอะ กิเลสมันเลยเข้ามาทำให้จิตใจเราขุ่นมัว เราก็เลยไม่มีปัญญาพอที่จะมองเห็นเหตุของปัญหา แต่ไปหลงและยึดเอาค่านิยมภายนอกมากกว่า ภัยธรรมชาติ ที่มันเกิด มันเป็นเพราะความอยากของเราที่มันไปเป็นตัวเบียดเบียนธรรมชาติ ถ้าเราไม่อยากเบียดเบียนธรรมชาติ เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า เราพร้อมที่จะเสีย สละไหม เช่น ถ้าเราไม่มีโรงงานนิวเคลียร์ เราก็จะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงานนิวเคลียร์มาใช้นะ

ทุกวันนี้เราพึ่งพาไฟฟ้าเพราะอะไร เพราะเราต้องการความสะดวกสบาย เวลาเราเบื่อ แทนที่เราจะนั่งสมาธิ เราต้องเปิดไฟ ดูทีวี หรือ อ่านหนังสือ ตอบสนองตัวเองด้วย สิ่งบันเทิง แต่ถ้าเราพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้บ้าง บางครั้ง สิ่งบันเทิงเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อเราไม่ได้เปิดไฟ ใช้ มันน้อยลง เราก็จะเบียดเบียนธรรมชาติน้อยลงไปด้วย”

ดังนั้นพรปีใหม่ที่พระอาจารย์อยากมอบคนไทย ไม่มีอะไรที่มากกว่าการลดความอยาก เพื่อความสุขที่แท้และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา

“เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากตัวเราเอง”

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

ทำอย่างไรดีกับยุคที่ปริญญาล้นเมือง





การศึกษาของเรานั้นลอกเรียนแบบจากประเทศทางตะวันตก



เยาวชนไทย 'รู้ทุกเรื่อง เก่งทุกวิชา แต่ไม่รู้จักตัวเอง'

ประชากรในโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เรามีเพื่อนร่วมโลกใบนี้ ครบ 7,000 ล้านคนเมื่อไม่นาน
เมื่อเช้านี้ เพื่อนโทร. มาปรึกษา บอกว่าลูกสาวเรียนแผนกศิลป์อยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมเป็นเด็กที่เก่งมากเกรดเฉลี่ย 3.8 แต่ไม่รู้จะไปเรียนต่อคณะอะไรดี

เพื่อนลูกส่วนมากก็มุ่งหวังไปแย่งที่นั่งในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ แต่ตัวลูกก็ไม่รู้ว่าจะดีไหม ส่วนแม่แนะนำให้สอบเข้านิติศาสตร์สำหรับเพื่อนผมก็ยังไม่หายขัดใจที่พยายามให้ลูกเรียนสายวิทย์ แต่ลูกไม่สนใจ

นี่แหละครับปัญหาใหญ่ของการศึกษาในบ้านเมืองเรารู้ทุกเรื่อง เก่งทุกวิชา แต่ไม่รู้จักตัวเอง สมัยก่อนมันไม่มีปัญหาอะไรมากหรอกครับ เรียนๆ ท่องๆ ติวหนักๆ เกรดดีๆ


สอบเข้าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ได้ จบมาก็มีงานทำ มีทุนให้เรียนต่อ

แต่ในวันนี้วันที่ประชากรโลกมี 7,000 ล้านคน เรื่องราวมันเปลี่ยนไปมากครับ

ทุกวันนี้คนไทยเราเรียนจบปริญญาตรีกันปีละประมาณ 5 แสนคน
เรื่องที่จะหวังไปทำงานราชการนั้น มันยากจริงๆเพราะ สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) เขารับบรรจุข้าราชการปีละประมาณ 5,000 คน

บัณฑิตเราจำนวนมากต้องไปหางานเอกชนทำ บัณฑิตส่วนหนึ่งจบมาแล้วไม่รู้จะทำอะไร ก็เรียนต่อปริญญาโทเพื่อชะลอการตกงาน คนได้ทำงานจำนวนมากอาจจะไปทำงานที่ไม่ตรงกับที่เรียนมาเลย
และอีกมากที่ทำงานอะไรก็ได้ขอให้มีเงินเดือนแต่ก็ยังไม่น่าห่วงเพราะยังดีที่มีงานทำ เพราะมีอีกหลายแสนคนที่ตกงาน

ทุกวันนี้ลูกพี่ใหญ่ของเรา คืออเมริกา มีปัญหามากมายจากการว่างงานครับ
ในสหรัฐอเมริกา มีบัณฑิตตกงานมากมายเพราะค่าจ้างเงินเดือนสูงมาก เมื่อโลกของการเชื่อมโยงข้อมูลเติบโต เทคโนโลยีสื่อสารอย่างทั่วถึงเช่นในปัจจุบัน ทำให้บริษัทต่างๆ ในอเมริกาที่ต้องการจะอยู่รอดและทำกำไร จึงหันไปใช้บริการของบัณฑิตในอินเดียซึ่งค่าจ้าง เงินเดือนถูกมาก

วิศวกรอินเดีย จบปริญญาเอก โท ตรี มีมากมาย คุณภาพใช้ได้ ภาษาอังกฤษดีค่าตัวถูกกว่าจ้างคนอเมริกันอย่างน้อยก็ 4 เท่าครับงานต่างๆที่สามารถจะส่งต่อไปทำที่อินเดียได้ จึงถูกส่งไปยัง บังกาลอร์ แหล่งบัณฑิตค่าจ้างถูกที่ประเทศอินเดีย

ทุกวันนี้ งานออกแบบวิศวกรรม งานวิจัยทางเคมี ชีววิทยา งานทำบัญชี งานวิเคราะห์ระบบต่างๆของบริษัทอเมริกัน ต่างถูกส่งออกไปยังอินเดียแมักระทั่งพนักงานรับโทรศัพท์ในโรงแรมที่อเมริกา
ยังรับโทรศัพท์ พูดคุยและให้บริการลูกค้าอยู่ที่บังกาลอร์  คนอเมริกันที่เคยทำงานง่ายๆ เงินเดือนสูงๆ ต่างต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดส่วนผู้ที่จบมาใหม่ โอกาสหางานก็ยากขึ้นทุกวันครับ

แม้กระทั่งประเทศอังกฤษ สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษก็ยังออกมารายงานว่าตอนนี้ คนอังกฤษตกงานจำนวนมากมีจำนวนผู้ไม่มีงานทำมากถึง 2.62 ล้านคนซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 15 ปี

บัณฑิตตกงานมากมายในบ้านเราก็มีมากอยู่แล้วดังนั้นเมื่อมีการกระตุ้นสังคมให้ตื่นตัวเรื่องประชาคมอาเซียนก็ยิ่งสร้างความกังวลให้นิสิตนักศึกษาจำนวนกว่า 2 ล้านคนในบ้านเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในอีก 3-4 ปีข้างหน้านี้
ได้รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานมีฝีมืออย่างเสรีในกลุ่มสาขาอาชีพต่างๆ
ซึ่งตอนนี้ตกลงไปแล้ว 7 กลุ่มอาชีพ ได้แก่ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์ และนักบัญชี

ส่วนสาขาอื่นๆ กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาและแน่นอนว่าจะต้องเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ

วิศวกรไทยเงินเดือน 20,000 บาท แต่ถ้าคุณภาพสู้วิศวกรจากเวียดนามเงินเดือน 15,000 บาทไม่ได้

อีกหน่อยวิศวกรเวียดนามก็อาจเข้ามาทำงานแทนการกำหนดเงินเดือนขั้นต่ำของประเทศก็ไม่ได้เป็นความมั่นคงอีกต่อไปเพราะไม่มีเจ้าของกิจการที่ไหนยอมขาดทุน หรือเสียเปรียบเขาก็ต้องจ้างแรงงานที่ราคาถูกกว่าถ้าคุณภาพไม่ต่างกัน

ปัญหาที่น่าสนใจก็คือ ถ้าวันนี้เป็นนักเรียนอยู่มัธยม หรือเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย
แล้วจะทำอย่างไร จะเตรียมตัวอย่างไร จึงจะไม่ต้องตกอยู่ในสภาพวิ่งหางาน
คำตอบก็คือ ถ้าเราไม่ได้เรียนจบในสาขาต่อไปนี้
1. แพทยศาสตร์
2.เภสัชศาสตร์
3. พยาบาล
4. เทคนิคการแพทย์
5.ทันตแพทย์
6 ทหาร ตำรวจ (จปร.)
โอกาสจะได้งานนับว่ายากมากดังนั้น แทนที่จะรอให้ปัญหามาถึง เราก็ป้องกันล่วงหน้า ด้วยการเตรียมพร้อม

คำแนะนำของผมก็คือ เราต้องตั้งเป้าหมายใหม่ แทนที่จะใช้แนวคิดค่านิยมเดิมๆคือเรียนจบเพื่อให้ได้ปริญญา แล้วจะนำปริญญาไปสมัครเข้าทำงานเราก็คิดเสียใหม่ว่าเราเรียนจบเพื่อทำงานได้จะทำอย่างไร ให้ทำงานได้ นี่แหละครับคือสิ่งที่พวกเราต้องเตรียมตัว

หลักการง่ายๆ ที่ใช้เพื่อเตรียมตัว เป็นผู้ ทำงานได้
1.ต้องมีวิชาชีพ
คนที่มีพ่อแม่ทำกิจการ ก็ต้องเริ่มไปช่วยกิจการเลย จะเป็นร้านเล็กๆ บริษัทใหญ่ๆ
ก็แบ่งเวลาไปฝึกทำงาน พอเรียนจบมาก็ทำกิจการได้ มีงานทำทันที

ถ้าพ่อแม่ไม่ได้มีกิจการ ก็ให้ไปเรียนวิชาชีพ
คือเรียนวิชาที่ประกอบอาชีพได้เลยด้วยตนเอง
เช่น ทำขนม เสริมสวย ซ่อมคอมพิวเตอร์ ฝึกเล่นกีฬาเป็นอาชีพ ร้องเพลง
เล่นดนตรี แสดงมายากล ถ่ายภาพ ตัดต่อหนัง ฯลฯคือฝึกเป็นผู้ประกอบการเรื่องนี้ต้องเปลี่ยนแนวคิดเก่าๆ ที่ดูถูกคนทำงาน

การทำงานเป็นสิ่งที่มีเกียรติ ไม่ว่าจะเป็นงานอะไร ยิ่งฝึกฝนก็ยิ่งชำนาญ
เพราะนอกจากจะสร้างงานด้วยตัวเองแล้ว ในอนาคตเมื่อกิจการเติบโตขึ้น เราอาจจะรับคนเข้ามาทำงานได้อีกด้วย

แนวคิดลักษณะนี้ได้แพร่หลายมากในสิงคโปร์ เขาพยายามสร้างผู้ประกอบการ

โดยให้นักศึกษาได้เป็นผู้ประกอบการ ทำกิจการจริง เปิดแผง ขายของ รับออกแบบ พัฒนาสินค้าต่างๆ ออกขายโดยรัฐบาลสนับสนุน ในเรื่องทุนและสถานที่ซึ่งจะทำให้บรรดานักศึกษาเหล่านี้มีประสบการณ์และรู้จักการทำมาหากินและหลายคนก็ทำเงินมีทุนดำเนินกิจการต่อ ก่อนที่จะเรียนจบ

2 ต้องฝึกวิชา ใช่
ผมมีหลักง่ายๆ มาให้ครับ เคล็ดไม่ลับในการฝึก วิชา ใช่ คือสอง ร และสอง อ
ร เรียนรู้
ต้องเป็นผู้เรียนรู้ ฝึกฝน พัฒนาตนเอง
ความรู้ต่างๆ ทุกวันนี้เกิดขึ้นมามากมาย คนที่พร้อมจะทำงาน ต้องมีนิสัยอยากรู้ และเรียนรู้ตลอดเวลา
เราต้องดู และเรียนรู้ตนเอง จุดอ่อนที่ต้องพัฒนา เพื่อก้าวสู่เป้าหมายของเรา
ทุกคนสำเร็จได้ ในวิถีของตนเองครับ
คนที่ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้ตนเอง เรียนตามคนบอก เรียนตามกระแสไปเรื่อยๆ ยากที่จะสำเร็จครับ

ร รับผิดชอบ
ฝึกเป็นผู้รับผิดชอบ เพราะไม่ว่างานใดๆ ถ้าขาดความรับผิดชอบ ถึงจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีใครต้องการให้มาอยู่ร่วมทีมความรับผิดชอบเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดในการทำงานครับ

อ อดทน
เจ้าของกิจการมากมายมักบ่นให้ฟังว่า เด็กสมัยนี้ใจร้อน รอไม่ได้ ไม่อดทนชอบทำงานเบาๆ แต่อยากได้เงินเดือนสูงๆ ชอบวันหยุดมากๆเมื่อได้รับมอบหมายงานแล้วก็ไม่ต้องใจไม่อดทนไม่ทุ่มเท
นั่นคือสิ่งที่เราต้องปรับปรุงฝึกฝน ต้องอดทนเพื่อความสำเร็จครับ
คนที่เขาเป็นหัวหน้าดูเหมือนทำงานสบายเงินเดือนสูง ส่วนมากเขาก็ได้มาเพราะความอดทนนี่แหละครับ

อ อดกลั้น
ต้องฝึกอดกลั้นต่อความชั่วและสิ่งที่จะสร้างความวุ่นวายให้ชีวิต
ลองถามตัวเองดูว่า เราโกรธง่ายเกินไปไหม อะไรก็ไม่พอใจ
อะไรไม่เป็นอย่างที่หวัง เราก็โกรธ
ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ไม่เคยฝึกจิตใจ ไม่อดกลั้น อารมณ์โกรธวูบเดียวก็อาจนำหายนะมาให้เราได้
คนจำนวนไม่น้อยที่ โดนหลอก โดนต้มเพราะความโลภ
เราโลภเกินไปไหม อะไรก็อยากได้
หลายคนอยากได้ จนต้องโกง
คนมากมายพังก็เพราะความโลภนี่แหละครับ

เริ่มต้นสร้างคุณค่าในตัวเองกันเถอะครับ แล้วเราจะอยู่ในโลก 7,000 ล้านคนนี้อย่างมีความสุขและไม่ตกงาน

จาก futurecareer.eduzones.com