วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปิดไฟฟังนิทาน พี่น้องนกแขกเต้า





ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่คทายวิหาร ใกล้ถ้ำมัททกุจฉิ เมืองราชคฤห์ ทรงปรารภพระเทวทัตผู้กลิ้งศิลาหมายให้ทับพระองค์ มีแต่สะเก็ดแตกกระทบพระบาทยังพระโลหิตให้ห้อเท่านั้น ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...



          กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในสมัยพระเจ้าปัญจาละกปกครองเมืองอุตตาปัญจาละ พระโพธิสัตว์เกิดเป็นลูกนกแขกเต้ามีน้องตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ป่างิ้วใกล้ภูเขาลูกหนึ่ง ในที่ไม่ไกลจากภูเขาลูกนั้นด้านทิศเหนือมีบ้านของพวกโจร ๕๐๐ ด้านทิศใต้เป็นอาศรมของฤๅษี ๕๐๐ ตน เมื่อนกแขกเต้า สองพี่น้องเติบโตขึ้นกำลังหัดบิน ในวันหนึ่งเกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำนกแขกเต้าทั้งสองจึงถูกลมพัดไปตกคนละแห่ง นกผู้น้องไปตกระหว่างอาวุธของบ้านโจร พวกเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่า สัตติคุมพะ ส่วนนกผู้พี่ไปตกระหว่างกองดอกไม่ใกล้อาศรมฤๅษี จึงถูกตั้งชื่อว่าปุปผกะนกทั้งสองตัวต่างเติบโตในสถานที่นั้นๆ



          อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าปัญจาละเสด็จประพาสป่า พร้อมด้วยบริวารหมู่ใหญ่เพื่อออกล่าสัตว์ ทรงประกาศว่า "เนื้อหนึไปทางผู้ใด อาญาจะมีแก่ผู้นั้น" พระองค์ทรงธนูยืนซ่อนอยู่ในซุ้มที่เขาจัดถวาย เมื่อพวกทหารตีเคาะพุ่มไม้มีเนื้อทรายตัวหนึ่งดูทางที่จะไป เห็นทางที่พระราชาประทับอยู่เงียบสงัด จึงวิ่งไปทางนั้้นและหลบหนีไปได้ พวกอำมาตย์ต่างร้องถามกันว่า "เนื้อหนีไปทางผู้ใด" เมื่อทราบว่าด้านของพระราชาต่างก็หัวเราะยิ้มเยาะ พระองค์



          พระราชารีบขึ้นรถพระที่นั่งสั่งให้นายสารถีตามจับเนื้อให้จงได้ พวกบริวารไม่สามารถที่จะวิ่งไล่รถของพระองค์ทันใด้ จึงมีเพียงพระราชาและนายสารถีสองคนเท่านั้นตามเนื้อไป จนเที่ยงวันก็ไม่พบเนื้อตัวนั้น จึงเสด็จกลับพบลำธารสวยงามระหว่างทางใกล้ที่อยู่ของโจร ด้วยความเหนื่อยล้า จึงลงไปบรรทมพักผ่อนใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง ฝ่ายนายสารถีถวายงานนวดอยู่



          ณ บ้านโจร พวกโจรพากันออกจากบ้านเข้าป่ากันหมด เหลือแต่นกสัตติคุมพะและพ่อครัวคนหนึ่งเท่านั้น ขณะนั้น นกสัตติคุมพะบินออกจากบ้านไปพบพระราชา ก็คิดจะปล้นชิงทรัพย์จึงบินกลับมาบอกพ่อครัว ฝ่ายพ่อครัวรีบออกไปดู เมื่อทราบว่าเป็นพระราชาจึงพูดว่า "แกจะบ้าเรอะ จะปล้นพระราชา ขึ้นชื่อว่าเป็นพระราชาถึงจะเข้าป่าก็ยังทรงเดชานุภาพอยู่นั้นเอง" นกพูดตอบว่า "ท่านพ่อครัว เวลาเมาท่านเก่งกาจมากมิใช่หรือ มาบัดนี้ท่านทำไมไม่อยากทำโจรกรรมเล่า"



          พระราชาทรงตื่นจากบรรทมได้ยินเสียงคนคุยกันก็ทราบว่า สถานที่นี้ไม่ปลอดภัยจึงปลุกนายสารถีรีับเสด็จไปโดยเร็ว นกสัตติคุมพะรีบบินร้องให้โจรตามรถของพระราชาไป พระราชาเสด็จไปถึงอาศรมของพวกฤๅษี ขณะนั้นพวกฤๅษีเข้าป่าหาผลไม้เหลือแต่นกปุปผกะตัวเดียว มันพอเห็นพระราชาเสด็จมาถึงรับบินไปต้อนรับและถวายพระพร



          พระราชาเลื่อมใส่ในนกปุปผกะตรัสชมเชยว่า "นกแขกเต้าตัวนี้ดีมากส่วนนกแขกเต้าตัวโน้นพูดแต่คำหยาบให้จับพระราชาให้ฆ่าพระราชา นกสองตัวนี้ข่างต่างกันจริงๆ"



          นกปุปผกะกราบทูลว่า "มหาราชเจ้า พวกข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นพี่น้องกัน เติบโตจากต้นงิ้ว แต่ต่างถูกลมพัดไปอยู่คนละเขต สัตติคุมพะตกไปอยู่ในบ้านโจร ข้าพระองค์มาอยู่ในอาศรมฤๅษีเราทั้งสองจึงต่างกันพระเจ้าข้า" แล้วแสดงธรรมแก่พระราชาว่า "ขอเดชะบุคคลคบคนเช่นใด เป็นสัตบุรุษ อสัตบุรุษ ผู้มีศีลหรือไม่มีศีล ย่อมไปสู่อำนาจของผู้นั้น เพราะอยู่ร่วมกันกับผู้นั้นเหมือนลูกศรอาบยาพิษ ย่อมทำให้แหล่งลูกศรเปื้อนยาพิษด้วย นักปราชญ์ไม่พึงมีสหายผู้ต่ำช้าเลยทีเดียว เพราะกลัวจะเปื้อนด้วยบาปกรรมเหมือนห่อปลาเน่าด้วยหญาคา หญ้าคาย่อมมีกลิ่นเหม็นฟุ้งไปด้วย การคบหาสมาคมกับคนพาลก็เช่นกัน เหมือนห่อของหอมด้วยใบไม้ ใบไม้ก็หอมฟุ้งไปด้วยฉันได การคบหาสมาคมกับนักปราชญ์ก็ฉันนั้น ดังนั้น บัณฑิตไม่ควรคบหาอสัตบุรุษ ควรคบหาแต่สัตบุรุษเท่านั้น"



          พระราชาทรงเลื่อมใสธรรมกถาของนกปุปผกะอย่างมาก เมื่อหมู่ฤๅษีกลับมาแล้วจึงนิมนต์ให้เข้าไปอยู่ในสวนหลวง เพื่อจะได้อุปัฏฐากบำรุง และทรงให้ปล่อยนกทั้งหลายเป็นอภัยทาน หมู่ฤๅษีรับคำนิมนต์นั้นอยู่สงเคราะห์พระราชาจนตราบสิ้นชีวิต

Cr : http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt30.php

Cr : https://www.youtube.com/watch?v=B4akxrP-aG8

วันจันทร์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปิดไฟฟังนิทาน ธรรมะมีค่าดั่งทอง





กาญจนักขันธชาดก

ธรรมะมีค่าดั่งทอง



ในอดีตกาล ณ กรุงพาราณสี มีชายชาวนาผู้ขยันคนหนึ่ง ได้จับจองที่ดินรกร้างว่างเปล่า เพื่อถากถางเป็นที่นาของตน ซึ่งที่ดินแห่งนี้เมื่อในอดีต เคยเป็นที่ตั้งบ้านของเศรษฐีผู้มาก่อน



ชายหนุ่มได้ออกไปไถนาทุกวัน วันหนึ่งขณะที่กำลังไถนาอยู่นั้น ผาลไถ ( เหล็กสำหรับสวมหัวหมูเครื่องไถ) ก็ไปสะดุดติดอยู่กับของแข็งๆ ท่อนหนึ่งในดิน วัวที่เทียมไถไม่สามารถลากต่อไปได้จึงหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ เมื่อแรกเขาคิดว่าเป็นรากไม้ จึงเอามือขุดคุ้ยก้อนดินดู แต่กลับเป็นแท่งทองคำขนาดใหญ่ฝังอยู่ในดิน ทองคำแท่งนี้ เศรษฐีเจ้าของบ้านคนเดิมได้ฝังซ่อนไว้ แล้วอพยพครอบครัวไปอยู่ที่อื่น กลายเป็นที่รกร้างว่างเปล่า



ขณะนั้นเพิ่งจะบ่าย ยังมีเวลาเหลืออีกมาก ชาวนาผู้รักงานจึงค่อยๆ ทำงานต่อ แล้วโกยดินกลบท่อนทองคำไว้ดังเดิม จนกระทั่งโพล้เพล้ เขาจึงหยุดทำงาน แล้วย้อนกลับไปยังที่ฝังแท่งทองคำ คุ้ยดินออก ตั้งใจจะแบกกลับบ้าน แต่ทองมีน้ำหนักมากแบกไปไม่ไหว เขาจึงคิดที่จะแบ่งแท่งทองนี้ออกเป็นสี่ส่วน ส่วนที่ ๑ ขายนำทรัพย์มาเลี้ยงชีพ ส่วนที่ ๒ ฝังไว้ที่เดิมเก็บไว้ยามขัดสน ส่วนที่ ๓ เป็นทุนค้าขาย ส่วนที่ ๔ ทำบุญให้ทาน

เขาจึงตัดทองคำออกแบกกลับบ้านคราวละท่อนๆ นำไปใช้ตามจุดประสงค์นั้น โดยไม่มีความกังวลว่า ทองคำส่วนที่กลบดินจะสูญหายหรือไม่ แต่เพื่อความไม่ประมาท ชาวนาจึง ไม่ปริปากแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครทราบแม้แต่กับลูกเมีย ยิ่งกว่านั้น แม้แต่การจับจ่ายภายในบ้าน ก็ยังให้เป็นไปตามปกติ จนไม่มีใครล่วงรู้เบื้องหลังในความเป็นผู้มั่งมีของเขาเลย เข้าใจเอาเองว่า เป็นเพราะความขยันขันแข็งในการทำงานของเขา

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถาว่า...

“ นรชนใด มีจิตร่าเริงแล้ว มีใจเบิกบานแล้ว บำเพ็ญธรรมเป็นกุศล เพื่อบรรลุความเกษมจากโยคะ นรชนนั้น พึงบรรลุความสิ้นสังโยชน์ทุกอย่างได้โดยลำดับ”

  ครั้นแล้วจึงทรงประชุมชาดกว่า "ชาวนา" ได้มาเป็นพระองค์เอง

Cr : https://sites.google.com/site/dhammatharn/home/thrrm-mi-kha-dang-thxng

Cr : https://www.youtube.com/watch?v=eiYQfQLu7N4

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ปิดไฟฟังนิทาน อาวาริยชาดก



อรรถกถา อาวาริยชาดก
ว่าด้วย การกระทำที่ไม่เจริญด้วยโภคะ
               พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภติตถนาวิก คนแจวเรือประจำท่าคนหนึ่ง จึงตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า มาสุ กุชฺฌ ภูมิปติ ดังนี้.
               ได้ยินว่า เขาเป็นคนโง่ไม่รู้อะไร ไม่รู้คุณของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นเลย ไม่รู้คุณของบุคคลอื่นๆ ด้วยเป็นคนดุร้าย หยาบคาย ผลุนผลันพลันแล่น.
               ภายหลัง ภิกษุชาวชนบทรูปหนึ่งมาด้วยความตั้งใจว่า เราจักทำการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ถึงท่าน้ำแม่น้ำอจิรวดี ได้พูดกับนายติตถวานิกอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนอุบาสก อาตมาจักข้ามฟาก ขอโยมจงให้เรืออาตมภาพเถิด.
               นายติตถวานิกตอบว่า
               ท่านครับ บัดนี้นอกเวลาแล้ว ขอให้ท่านอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งในที่นี้.
               ภิ. ดูก่อนอุบาสก อาตมาจักอยู่ที่ไหนในที่นี้ ขอจงรับอาตมาไปส่งเถิด.
               เขาโกรธพูดว่า มาที่นี่โว้ยสมณะ เราจะนำไปส่ง แล้วได้ให้พระเถระลงเรือ ไม่ตรงไปส่ง แต่พายเรือไปข้างล่าง ทำให้เรือโคลง บาตรและจีวรของท่านเปียกน้ำไปถึงฝั่งโดยลำบาก ส่งขึ้นฝั่งเวลามืดค่ำ.
               ต่อมา ท่านได้ไปถึงวิหาร วันนั้นไม่ได้โอกาสอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า รุ่งขึ้นจึงเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ถวายบังคมแล้วนั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เป็นผู้ที่พระศาสดาทรงทำการปฏิสันถารแล้ว เมื่อถูกพระศาสดาตรัสถามว่า เธอมาถึงเมื่อไร? ทูลว่า เมื่อวานนี้พระเจ้าข้า เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า เหตุไฉน จึงมาที่อุปัฏฐากในวันนี้? ได้กราบทูลเนื้อความนั้นให้ทรงทราบ.
               พระศาสดา ครั้นทรงสดับเรื่องนั้นแล้วจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ ไม่ใช่เพียงบัดนี้เท่านั้น ถึงในชาติก่อน นายคนนี้ก็ดุร้าย หยาบคายเหมือนกัน. อนึ่ง เขาไม่ใช่ให้เธอลำบาก แต่ในชาติปัจจุบันนี้ แม้ในชาติก่อน ก็ทำให้บัณฑิตลำบากมาแล้ว ถูกภิกษุนั้นทูลอ้อนวอน จึงทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
               ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์กำเนิดในสกุลพราหมณ์เจริญวัยแล้ว ได้เรียนศิลปศาสตร์ทุกอย่างที่ตักกสิลา แล้วบวชเป็นฤๅษี เลี้ยงอัตภาพด้วยผลไม้น้อยใหญ่ ในป่าหิมพานต์เป็นเวลาช้านาน เพื่อต้องการลิ้มรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงไปเมืองพาราณสี พักอยู่ที่พระราชอุทยาน
               รุ่งขึ้นจึงเข้าไปสู่พระนครเพื่อภิกษา. ครั้งนั้น พระราชาได้ทอดพระเนตรเห็นท่านมาถึงพระลานหลวง เลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน จึงทรงนำเข้าไปภายในเมืองให้ฉันเสร็จ ทรงรับปฏิญญาแล้วให้ท่านอยู่ในพระราชอุทยาน ได้เสด็จไปยังที่อุปัฏฐากวันละครั้ง.
               พระโพธิสัตว์ เมื่อทูลถวายโอวาทพระราชานั้นทุกวันว่า ขอถวายพระพรมหาราช ธรรมดาพระราชาควรเว้นการลุอำนาจอคติทั้ง ๔ เป็นผู้ไม่ประมาท สมบูรณ์ด้วยพระขันติ พระเมตตาและพระกรุณาธรรม ครองราชสมบัติโดยธรรม
               จึงถวายพระพรคาถา ๒ คาถา ว่า :-
               ข้าแต่มหาบพิตรผู้ทรงเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ขอมหาบพิตรอย่าทรงพิโรธเลย ข้าแต่มหาบพิตรผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระราชาผู้ไม่ทรงพิโรธตอบผู้ที่โกรธแล้ว ประชาชนของรัฐ ราษฎรบูชาแล้ว.
               อาตมภาพขอถวายอนุศาสน์ในที่ทุกสถาน จะเป็นในบ้าน ในป่า หรือที่ดอนที่ลุ่มก็ตาม ข้าแต่มหาบพิตรผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์อย่าทรงพิโรธ.

               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รฏฺฐสฺส ปูชิโต มีเนื้อความว่า พระราชาแบบนี้ เป็นผู้ที่ประชาชนของรัฐบูชาแล้ว.
               บทว่า สพฺพตฺถมนุสาสามิ ความว่า ข้าแต่มหาราช อาตมภาพ เมื่ออยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง บรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้ ก็จะถวายอนุศาสน์พระองค์ ด้วยข้ออนุศาสน์ข้อนี้นั่นแหละ คือว่า จะถวายอนุศาสน์ในที่ใดที่หนึ่ง บรรดาบ้านเป็นต้นเหล่านี้ จะเป็นที่บ้านหลังเดียวก็ตาม สัตวโลกตัวเดียวก็ตาม,
               บทว่า มาสุ กุชฺฌ รเถสภ ความว่า อาตมภาพถวายอนุศาสน์พระองค์อยู่อย่างนี้นั่นแหละ ธรรมดาพระราชาไม่ควรจะพิโรธ. เหตุไร? เพราะว่าธรรมดาพระราชาทั้งหลายมีพระบรมราชโองการเป็นอาวุธ คนมากมายถึงความสิ้นชีวิตด้วยเหตุเพียงพระบรมราชโองการของพระราชาเหล่านั้น ผู้ทรงพิโรธแล้ว เท่านั้น.
           
Cr :http://www.84000.org/tipitaka/attha/jataka.php?i=270831

ปิดไฟฟังนิทาน มาลุตชาดก





อรรถกถา มาลุตชาดก

ว่าด้วย ความหนาวเกิดแก่ลม

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภบรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ ๒ รูป จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า กาเฬ วา ยทิ วา ชุณฺเห ดังนี้.
ได้ยินว่า บรรพชิตทั้งสองรูปนั้นอยู่ในป่าแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท. รูปหนึ่งชื่อ กาฬเถระ รูปหนึ่งชื่อ ชุณหเถระ. อยู่มาวันหนึ่ง พระชุณหะถามพระกาฬะว่า ท่านกาฬะผู้เจริญ ธรรมดาว่า ความหนาวมีในเวลาไร? พระกาฬะนั้นกล่าวว่า ความหนาวมีในเวลาข้างแรม. อยู่มาวันหนึ่ง พระกาฬะถามพระชุณหะว่า ท่านชุณหะผู้เจริญ ธรรมดาว่า ความหนาวย่อมมีในเวลาไร? พระชุณหะนั้นกล่าวว่า มีในเวลาข้างขึ้น. พระแม้ทั้งสองรูปนั้น เมื่อไม่อาจตัดความสงสัยของตนได้ จึงพากันไปยังสำนักของพระบรมศาสดา ถวายบังคม แล้วทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมดาว่า ความหนาวย่อมมีในกาลไร พระเจ้าข้า?
พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของภิกษุทั้งสองนั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งสองแล้ว แต่เธอทั้งหลายกำหนดไม่ได้ เพราะอยู่ในสังเขปแห่งภพ แล้วทรงนำอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล ณ เชิงเขาแห่งหนึ่ง มีสัตว์ผู้เป็นสหายกันสองตัว คือ ราชสีห์ตัวหนึ่ง เสือโคร่งตัวหนึ่ง อยู่ในถํ้าเดียวกันนั่นเอง. ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ก็บวชเป็นฤาษี อยู่ที่เชิงเขานั้นเหมือนกัน. ภายหลังวันหนึ่ง ความวิวาทเกิดขึ้นแก่สหายเหล่านั้น เพราะอาศัยความหนาว. เสือโคร่งกล่าวว่า ความหนาวย่อมมีเฉพาะในเวลาข้างแรม. ราชสีห์กล่าวว่า มีเฉพาะในเวลาข้างขึ้น. สหายแม้ทั้งสองนั้น เมื่อไม่อาจตัดความสงสัยของตน จึงถามพระโพธิสัตว์.
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถานี้ว่า
ข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ตาม สมัยใดลมย่อมพัดมา สมัยนั้นย่อมมีความหนาว เพราะความหนาวเกิดแต่ลม ในปัญหาข้อนี้ท่านทั้งสอง ชื่อว่าไม่แพ้กัน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กาเฬ วา ยทิ วา ชุณฺเห ได้แก่ ในปักษ์ข้างแรม หรือในปักษ์ข้างขึ้น. บทว่า ยทา วายติ มาลุโต ความว่า สมัยใด ลมอันต่างด้วยลมทิศตะวันออกเป็นต้น ย่อมพัดมา สมัยนั้นความหนาวย่อมมี. เพราะเหตุไร? เพราะความหนาวเกิดแต่ลม. อธิบายว่า เพราะเหตุที่ เมื่อลมมีอยู่นั่นแหละ ความหนาวจึงมี. ในข้อนี้ปักษ์ข้างแรมหรือปักษ์ข้างขึ้น ไม่เป็นประมาณ. บทว่า อุโภตฺถมปราชิตา ความว่า ท่านแม้ทั้งสองไม่แพ้กันในปัญหาข้อนี้.
พระโพธิสัตว์ให้สหายเหล่านั้นยินยอมกัน ด้วยประการอย่างนี้.

ฝ่ายพระศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน เราก็ตอบปัญหานี้แก่เธอทั้งหลายแล้ว
ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ในเวลาจบสัจจะ พระเถระแม้ทั้งสองเหล่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระโสดาปัตติผล.
แม้พระศาสดาก็ทรงสืบอนุสนธิ แล้วประชุมชาดก ว่า
เสือโคร่งในครั้งนั้น ได้เป็น พระกาฬะ
ราชสีห์ในครั้งนั้น ได้เป็น พระชุณหะ
ส่วนดาบสผู้แก้ปัญหาในครั้งนั้น ได้เป็น เรา แล.

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560


กินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นดีไหม?


หลายคนคงจะเคยได้ยิน เรื่องราวเกี่ยวกับการกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นมาบ้าง...ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของประโยชน์น้ำมันมะพร้าว ทั้งในด้านสุขภาพ และความสวยความงาม...แต่รู้หรือไม่ว่า? วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ที่ถูกต้องและให้ได้ผลนั้น ควรทานอย่างไร? หากยังไม่ทราบ หรือยังไม่แน่ใจ...สุขภาพดี เรามีวิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น แบบได้ผลเกินคาดมาฝากค่ะ

ปริมาณ...วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ให้ได้ผล

เป็นคำถามที่ทุกคนอาจสงสัยว่าวิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ควรกินอย่างไร และควรกินในปริมาณเท่าใด จึงจะพอเพียงกับความต้องการของร่างกาย คำตอบก็คือ วันละเท่าใดก็ได้ตามที่คุณเห็นเหมาะสม...เพราะน้ำมันมะพร้าวเพียงครึ่งช้อนก็ให้ประโยชน์แก่ร่างกายได้แล้ว แต่โดยปกติก็จะแนะนำให้รับประทานประมาณ 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือ 1 ช้อนโต๊ะต่อมื้ออาหารสำหรับผู้ใหญ่ทั่วๆ ไป...อย่างไรก็ตามก็ไม่ถือว่าเป็นกฎตายตัว หลายคนได้รับผลเป็นที่น่าพอใจจากการรับประทานน้ำมันมะพร้าวเพียงวันละช้อนก็มี แต่ในกรณีที่คุณมีอาการเจ็บไข้ได้ป่วย สามารถเพิ่มปริมาณน้ำมันมะพร้าวได้อีกสองเท่าตัว โดยไม่มีอันตรายหรือผลข้างเคียงใดๆ เพราะน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่ยา และไม่มีอันตราย หรือผลข้างเคียงแต่อย่างใด

เคล็ด(ไม่) ลับ...วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ให้ได้ผล


จริงๆ แล้ววิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นให้ได้ผล นั้นง่ายมาก...โดยคุณสามารถรับประทานน้ำมันมะพร้าวด้วยวิธีใดก็ได้แล้วแต่ความชอบ บางท่านที่ชอบกลิ่นมะพร้าว ก็สามารถเทน้ำมันมะพร้าวกรอกใส่ปากเพียวๆ ได้เลย รับรองว่าดื่มง่ายและได้ประโยชน์มากกว่าการดื่มเหล้าเพียวๆ ซะอีกนะคะ หรือบางท่านคิดว่าการรับประทานน้ำมันมะพร้าวทำให้รู้สึกเลี่ยน อยากอาเจียน...ซึ่งก็เป็นธรรมดาสำหรับผู้ที่ยังไม่คุ้นเคยกับน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น อาจใช้น้ำมันเป็นส่วนประกอบในการทำอาหาร เช่น น้ำไปใช้แทนน้ำมันพืช ในการทอด หรือ ผัดอาหาร และที่สำคัญการใช้น้ำมันมะพร้าวทอดอาหาร ทำให้อาหารไม่ติดกระทะด้วย หรือใครที่ชอบทานสลัด จะเทน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นราดลงบนสลัดจานโปรด หรือผสมลงในเครื่องดื่มร้อนที่คุณชื่นชอบเช่นกาแฟร้อน โกโก้ร้อน นมร้อน ก็ได้

18 คุณประโยชน์...กินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเป็นประจำ

นอกจากน้ำมันมะพร้าวจะสามารถบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยและเสริมสร้างสุขภาพร่างกายและความสวยความงามแล้ว น้ำมันมะพร้าวยังสามารถพิชิตโรคร้ายต่างๆ เหล่านี้ได้อีกด้วย


1 ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ทำให้หัวใจแข็งแรง ป้องกันโรคหัวใจ ความดัน เบาหวานมะเร็ง

2 ช่วยเร่งการเผาผลาญและป้องกันการสะสมไขมัน

3 ช่วยลดน้ำหนักสำหรับคนอ้วนและเพิ่มเรี่ยวแรง กำลังวังชาให้กับผู้ที่ผอมแห้ง อ่อนเพลีย และเพิ่มแรงให้กับนักกีฬาด้วย

4 ไม่เปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ เมื่อถูกกับความร้อนจึงไม่ก่อให้เกิดสารก่อมะเร็งปลอดภัยเมื่อนำมาทอดอาหารในหลายๆ ครั้ง

5 มีสารโมโนโลริน ซึ่งเป็นสารปฎิชีวนะที่ทำลายเชื้อโรคได้หลายชนิด ทั้งเชื่อแบคทีเรียเชื้อรา เชื้อไวรัสและพยาธิได้ดีกว่ายาปฎิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

6 ย่อยง่าย เหมาะแก่ผู้ป่วยโรคถุงน้ำดี สามารถดูดซึมเข้าไปในร่างกายได้ดีและรวดเร็ว โดยเฉพาะคนที่มีปัญหาด้านระบบย่อยอาหารหรือการดูดซึมอาหารของเด็กทารกและผู้สูงอายุ


7 มีวิตามินเอ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณและเส้นผม

8 ไม่มีกลิ่นหืน ใช้ปรุงอาหาร ทำให้มีรสชาติอร่อย

9 ช่วยดูดซึม วิตามิน เกลือแร่ กรดอะมิโน ที่จำเป็นต่อร่างกาย

10 รักษาโรคปวดเมื่อย ชะลอการเสื่อมสภาพไปตามวัย

11 ป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง

12 รักษาอาการปวดกระดูก

13 แก้เชื้อราที่ผิวหนังและร่องเล็บ

14 แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย เคล็ด ขัดยอก

15 ใช้แทนครีมกันแดด แก้ผิวไหม้จากแสงแดด

16 ใช้ใส่แผลสด ล้างแผลสด

17 ใช้ควบคู่กับการโกนหนวด เช็ดล้างคราบเครื่องสำอางได้ดี

18 รักษาส้นเท้าแตก


Tip: วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เพื่อลดความอ้วน

การรับประทานน้ำมันมะพร้าวแล้วดื่มน้ำอุ่นตามก่อนมื้ออาหารจะช่วยลดความหิว และทำให้ทานอาหารได้น้อยลง ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก แต่น้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีประโยชน์ต่อผู้ต้องการลดน้ำหนักเพียงอย่างเดียว แต่มีผลต่อผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนักด้วย
Tip: วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น เพื่อเพิ่มน้ำหนัก

สำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มน้ำหนัก ก็มีเคล็ดลับง่ายๆ กับวิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ก็คือ การรับประทานน้ำมันมะพร้าวหลังมื้ออาหาร หรือพร้อมกับม้ออาหาร เพราะอย่างที่ทราบแล้วว่าน้ำมันมะพร้าวช่วยดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย และช่วยดูดซึมสารอาหารที่ไม่สามารถละลายในน้ำแต่สามารถละลายในไขมันได้ ทำให้ร่างกายได้รับการดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นและถูกนำไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที

วิธีกินน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ให้ได้ผล และเกิดประโยชน์ต่อร่างกายอาจจะต้องใช้ระยะเวลา บางคนรับประทานน้ำมันมะพร้าวได้สักระยะแล้วยังไม่ทันเห็นการเปลี่ยนแปลง ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ หรือล้มเลิกที่จะดูแลสุขภาพของตัวคุณเอง เพราะน้ำมันมะพร้าวไม่ใช่ยาวิเศษ แต่เป็นปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายได้รับการฟื้นฟูและรักษาตัวเองด้วยวิธีธรรมขาติ ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย ทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน และสารอาหารที่จำเป็น....หากตั้งใจ มุ่งมั่น กินอย่างสม่ำเสมอ รับรองว่าผลที่ตามมาจะสร้างความมหัศจรรย์ และพบกับความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง เป็นกำลังใจให้คนรักสุขภาพกันทุกๆ คนนะคะ

หากต้องการน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ราคาประหยัด ส่งตรงถึงบ้าน จ่ายเงินปลายทาง คลิกที่นี่ ได้เลย

แหล่งข้อมูล :โอสถทิพย์จากธรรมชาติน้ำมันมะพร้าว

“น้ำมะพร้าว” ดื่มทุกวันดีจริงไหม?

“น้ำมะพร้าว” ดื่มทุกวันดีจริงไหม?


เห็นแชร์กันสนั่นโซเชียลจริงๆ เกี่ยวกับการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน ผลลัพธ์ที่ใครต่อใครก็ร้องว๊าว!! สาวเฮลตี้เป็นต้องสรรหามาดื่มแทนน้ำเปล่า แต่เดี๋ยวก่อน...คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันแล้วจะดี คุณเชื่อมั่นในข่าวที่แชร์ได้แค่ไหน ว่าดื่มปริมาณมากแล้วจะไม่เป็นภัยต่อร่างกาย เอาเป็นว่าเรามาทำความรู้จักกับน้ำมะพร้าวกันก่อนดีกว่า แล้วจะรู้ว่าโทษของน้ำมะพร้าวมีไหม? แล้วค่อยตัดสินใจกันต่อไปว่าจะเริ่มหรือเลิกดื่ม

ความเชื่อน้ำมะพร้าว กับประจำเดือน

มีความเชื่อว่า ขณะที่เป็นประจำเดือนห้ามดื่มน้ำมะพร้าวเด็ดขาด แต่จริงๆ แล้วน้ำมะพร้าวก็เหมือนน้ำหวานทั่วๆ ไป จึงไม่มีผลกระทบต่อประจำเดือน แต่มีข้อยกเว้นเช่นกันในบางรายอาจมีอาการแพ้น้ำมะพร้าวได้ แต่ก็มีงานวิจัยที่ออกมาแนะนำเหมือนกันว่าไม่ควรเสี่ยงที่จะดื่ม เพราะอาจทำให้ประจำเดือนเปลี่ยนสีและหดหายเนื่องจากน้ำมะพร้าวมีฮอร์โมนสูง (อ้างอิง:ดาราเดลี่) ประกอบกับงานวิจัยสมุนไพรโบราณกล่าวว่าน้ำมะพร้าวเป็นของแสลงกับผู้หญิงที่มีประจำเดือน (ที่มา: สารานุกรมสมุนไพร วุฒิ วุฒิธรรมเวช) สมุนไพรร้านเจ้ากรมป๋อ (อุทัย สินธุสาร)
ความเชื่อน้ำมะพร้าว กับคนท้อง

หลายๆ คนมีความเชื่อว่าดื่มน้ำมะพร้าวช่วงท้องจะทำให้ลูกออกมาผิวพรรณผุดผ่อง ช่วยล้างไขตามตัว ความจริงเป็นแบบนี้! ในน้ำมะพร้าวมีสารอาหารหลากหลาย และกรดไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อดื่มน้ำมะพร้าวจะทำให้สร้างไขที่ตัวเด็กมีสีค่อนข้างขาว เลยดูเหมือนว่าเด็กตัวสะอาด โดยธรรมชาติเด็กทุกคนต้องมีไขห่อหุ้มตัวอยู่แล้ว เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิภายนอกและยังช่วยให้เด็กคลอดง่ายอีกด้วย (ที่มา: หนังสือพิมพ์บ้านเมือง)

เคล็ดลับการดื่มน้ำมะพร้าวไม่ให้เกิดโทษ

น้ำมะพร้าวควรดื่มแบบสดๆ เฉาะใหม่ๆ ไม่ควรทิ้งไว้หรือเก็บในตู้เย็นนานเกินครึ่งชั่วโมง เพราะถ้าดื่มทันที่จะทำให้ร่างกายได้รับสาอาหารสูงสุด แต่ระวังเรื่องสารฟอกขาวด้วยนะจ๊ะ ควรซื้อมาจากสวนโดยตรง ถึงจะดีและปลอดภัย สำหรับผู้ป่วยโรคไตและเบาหวานควรเลี่ยงจะดีกว่า

สารอาหารในน้ำมะพร้าว

น้ำมะพร้าวเป็นน้ำที่อุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนและไขมัน น้ำตาล วิตามิน และแร่ธาตุ แต่จะมีมากแค่ไหนมาดูตามนี้ค่ะ

ตารางแสดงสารอาหารในน้ำมะพร้าว

Total solids (%) 5.4.6.5
น้ำตาล (%) 0.2.4.4
แร่ธาตุ (%) 0.5.0.6
โปรตีน (%) 0.10.01

ไขมัน (%) 0.1.0.01
โพแทสเซียม (mg%) 247.0.290.0
โซเดียม (mg%) 48.02.0
แคลเซียม (mg%) 40.044

แมกนีเซียม (mg%) 15.010.0
ฟอสฟอรัส (mg%) 6.39.2
เหล็ก (mg%) 79.0106.0
ทองแดง (mg%) 26.026.0

Source: Satyavati Krishnankulty (1987)

จะเห็นได้ว่า ในน้ำมะพร้าวแก่และอ่อนมีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 0.2 และ 4.4 ตามลำดับ ซึ่งถึงแม้ว่าจะยังไม่มีข้อมูลการศึกษาในคน ว่าการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะทำให้เป็นโรคเบาหวานหรือไม่ แต่จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก ได้กำหนดให้ปริมาณน้ำตาลที่ร่างกายต้องการต่อวัน ไม่ควรเกิน 10% ของปริมาณพลังงานที่ได้รับทั้งวัน สำหรับคนไทยปริมาณน้ำตาลที่ได้รับไม่ควรเกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัม เนื่องจากมีการได้รับน้ำตาลจากอาหารอื่นแล้ว และมีข้อกำหนดเกี่ยวกับอาหารที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน คือจำกัดการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนครั้งละ 1 ถ้วย พร้อมกับอาหาร
โทษของน้ำมะพร้าว กับโรคมะเร็ง

นอกจากนี้ในน้ำมะพร้าวอ่อนยังมีสารไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณที่สูง ไม่ต่างจากถั่วเหลือง ซึ่งมีการศึกษาถึงผลของการกินสารสกัดจากถั่วเหลืองที่มีสารไฟโตเอสโตรเจนสูง ในสตรีวัยหมดประจำเดือน เป็นเวลานาน 5 ปี พบว่ามีโอกาสเพิ่มการเกิดโรคเยื่อบุมดลูกหนาตัวผิดปกติ ดังนั้นการดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนที่มีสารไฟโตเอสโตรเจนในกลุ่มสตรีที่หมดประจำเดือนมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเยื่อบุมดลูกหนาผิดปกติได้เช่นกัน

ดังนั้นสตรีที่มีอายุมากกว่า 50 ปี ที่รับประทานอาหารครบ 5 หมู่หลัก จึงไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำมะพร้าวทุกวัน และไม่ควรดื่มเกินครั้งละ 1 ลูก เพราะในแต่ละวัน เราได้รับน้ำตาลจาก ขนม น้ำหวาน น้ำอัดลม ลุกอม เค้ก ผลไม้ สารพัดแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่มีน้ำตาลร้อยละ 8-15 ซึ่งอาจมีผลทำให้น้ำหนักเพิ่มแบบไม่รู้ตัว และเกิดการสะสมไขมันแทน และสุดท้ายน่ะเหรอ ก็อ้วนลงพุงยังไงล่ะ และที่สำคัญภาวะอ้วนในสตรีสูงอายุโดยเฉพาะคนที่หมดประจำเดือนเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็งเต้านมและมดลูก ในกรณีที่ดื่มน้ำเต้าหู้ร่วมด้วยก็ควรหลีกเลี่ยงการดื่มพร้อมกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ปริมาณสารไฟโตเอสโตรเจนในร่างกายสูงเกินไป

มะพร้าวเป็นผลไม้ที่คนไทยนิยมกันมาก แต่ประเทศที่ผลิตมะพร้าวได้เป็นอันดับหนึ่งคือ อินโดนีเซีย ส่วนประเทศไทยอยู่อันดับที่หก จะเห็นได้ว่า อะไรก็ตามเมื่อมีประโยชน์ก็ย่อมทีโทษเช่นกัน รวมถึงโทษของมะพร้าวด้วย หลังจากอ่านจบคุณคงพบคำตอบนะคะ ว่าควรดื่มทุกวันตามกระแสที่แชร์กันมั้ย แต่ถ้ายังไม่แน่ใจควรกลับไปทวนอีกครั้ง


ที่มา:1. http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=12377&gid=9

2.ธิษณา จรรยาชัยเลิศ. น้ำตาล. 2008; Available from:URL:http://www.doctor.or.th/node/1147. Accessed December 21, 2009.

3. สำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ มูลนิธิหมอชาวบ้าน. ความรู้ทั่วไปกับเบาหวาน.