วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

วิธีการบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดูกาล





วิธีการบังคับให้มะนาวออกดอกนอกฤดูกาล
มะนาวเป็นพืชที่ไวต่อการขาดน้ำ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในช่วงที่มะนาวมีใบแก่จัด ถ้าปล่อยให้ขาดน้ำ ใบจะร่วงหล่นเร็วมากและจะแสดงอาการคล้ายจะตาย แต่ถ้าให้น้ำและปุ๋ยไปบ้าง มะนาวจะแตกใบใหม่และออกดอกตามมา และเมื่อใดที่ได้รับน้ำและปุ๋ยอย่างเพียงพอมะนาวจะแตกกิ่งใหม่ได้มาก ใบจะเขียวสดอยู่ได้นานและไม่ค่อยมีการออกดอกติดผล จากพฤติกรรมดังกล่าวจึงได้มีผู้คิดค้นหาวิธีการต่าง ๆ เพื่อบังคับให้มะนาวออกดอกได้คราวละมาก ๆ เช่น
1. ใช้วิธีตัดแต่งกิ่งหรือปลายกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้วทั้งต้นแล้วจึงมีการใส่ปุ๋ยเพื่อกระตุ้นให้เกิดการออกดอกขึ้น
2. ใช้วิธีการรมควันเพื่อให้ใบร่วงแล้วแตกใบใหม่พร้อมกับให้ดอกตามมาภายหลัง
3. ใช้ลวดเล็ก ๆ รัดโคนกิ่งใหญ่เพื่อให้มะนาวมีการสะสมอาหารเตรียมพร้อมที่จะออกดอก
4. งดการให้น้ำเพื่อทำให้ใบเหี่ยว แล้วกลับมารดน้ำและใส่ปุ๋ยเคมีเพื่อกระตุ้นให้เกิดดอก
5. ปล่อยน้ำเข้าแปลงปลูกประมาณ 3-4 วัน แล้วจึงระบายน้ำออก
6. ใช้น้ำอุ่นค่อนข้างร้อนฉีดให้ใบร่วง
7. ใช้ปุ๋ยยูเรีย 5 เปอร์เซ็นต์โดยน้ำหนักละลายน้ำฉีดให้ใบไหม้และร่วง แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งเพื่อให้มีการเกิดดอก

วิธีการตามที่ได้กล่าวมานี้ บางวิธีอาจทำให้มะนาวทรุดโทรมและตายได้หรือให้ผลผลิตแล้วตายไปเลย และบางวิธีก็ไม่เหมาะกับการปฏิบัติรักษาต่อมะนาวที่ปลูกไว้เป็นจำนวนมาก ดังนั้นจึงได้มีการคิดค้นวิธีการที่ทำให้มะนาวออกดอกในหน้าแล้งโดยที่ไม่ทำ ให้มะนาวทรุดโทรมจนเกินไป ดังต่อไปนี้
วิธีที่ 1 งดการใช้น้ำชั่วระยะหนึ่งเพื่อปล่อยให้ใบเหี่ยว เมื่อใบเหี่ยวก็ให้น้ำเล็กน้อยสักหนึ่งวัน และเมื่อเห็นว่าต้นมะนาวมีการฟื้นตัวดีแล้วค่อยให้น้ำมาก ๆ ติดต่อกันประมาณ 5-7 วัน จนดินชื้น แล้วจึงใส่ปุ๋ยเร่งดอกที่มีตัวกลางสูงเช่น ปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-27-27 ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น หรืออาจใส่กระดูกป่นลงไปด้วยก็ได้ นอกจากนี้อาจพิจารณาใส่ปุ๋ยขี้หมูประมาณ 60 กิโลกรัม กระดูกป่น 6 กิโลกรัมและโปแตสเซียมซัลเฟต 3 กิโลกรัม ผสมเข้าด้วยกันแล้วใส่รอบโคนต้น จะได้ผลดีเช่นเดียวกัน

วิธีที่ 2 งดการให้น้ำประมาณ 7-15 วัน แล้วจึงทำการตัดแต่งกิ่งออกประมาณ 1-2 นิ้ว ให้ทั่วทั้งต้น การตัดแต่งกิ่งนี้เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยให้มะนาวแตกกิ่งวิธีนี้จะใช้เพื่อ เพิ่มปริมาณการออกดอกติดผลในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม กับต้นมะนาวที่ติดผลในช่วงนี้ไม่ดกนัก
 
วิธีที่ 3 พ่นใบด้วยปุ๋ยยูเรียความเข้มข้น 5 เปอร์เซ็นต์ (ใช้ปุ๋ยยูเรีย 46 เปอร์เซ็นต์ 1 กิโลกรัมผสมกับน้ำสะอาด 20 ลิตร) การฉีดพ่นควรฉีดไปที่ทรงพุ่มของมะนาวให้โชกทั่วทั้งต้น ประมาณ 4-5 วัน ต่อมาใบมะนาวจะเริ่มร่วงโดยเฉพาะใบแก่ส่วนใบอ่อนจะไม่ร่วง ลักษณะของใบมะนาวที่ร่วงนั้นคล้ายกับถูกน้ำร้อนลวกหลังจากนั้นให้ใส่ปุ๋ย เคมีสูตร 12-24-12 โรยใส่ต้นมะนาวต้นละ 1-2 กิโลกรัม ประมาณ 15-20 วันหลังจากที่ได้ฉีดพ่นปุ๋ยยูเรียไปแล้วมะนาวจะเริ่มออกดอก ในช่วงนี้ให้ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 20-14-14 อัตราต้นละ 200-300 กรัม โดยทิ้งห่างกันประมาณ 1 เดือน สัก 3-4 ครั้ง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของผลมะนาว ในช่วงที่มะนาวเริ่มออกดอกจนถึงติดผลนี้จะต้องระวังอย่าให้มะนาวขาดน้ำเพราะ จะทำให้ผลร่วงหรือการเจริญเติบโตของผลไม่ดีเท่าที่ควร มะนาวที่บังคับให้ออกดอกในเดือนกันยายน-ตุลาคม ถ้ามีการปฏิบัติตามข้อแนะนำดังกล่าวมาแล้วเพื่อเข้าหน้าแล้งราวเดือนเมษายน ผลมะนาวจะแก่จัดและสามารถเก็บผลไปจำหน่ายได้
 
วิธีที่ 4 เป็นวิธีที่ได้ผลดีวิธีหนึ่ง วิธีนี้ไม่ทำให้ต้นมะนาวโทรมเร็วเหมือนกับวิธีแรก ๆ มีขั้นตอนในการปฏิบัติดังนี้
1. ประมาณเดือนกันยายน ใส่ปุ๋ยเกรด 1:3:3 เช่นปุ๋ยสูตร 8-24-24 เพื่อเร่งให้ใบแก่เร็วขึ้น และเก็บสะสมอาหารไว้บำรุงดอกต่อไป
2. ต้นเดือนตุลาคม งดให้น้ำเพื่อให้ต้นมะนาวมีการเก็บสะสมอาหาร
3. ปลายเดือนตุลาคม ให้น้ำอย่างเต็มที่หลังจากงดให้น้ำมาเป็นเวลา 15-20 วัน
4. ต้นเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่ได้ให้น้ำไปแล้วประมาณ 7 วัน มะนาวจะเริ่มออกดอก ช่วงนี้ควรมีการพ่นสารเคมีเพื่อป้องกันกำจัดแมลงในช่วงที่กำลังมีดอกอ่อน
5. ปลายเดือนพฤศจิกายน ดอกเริ่มบานและมีการติดผล ควรพ่นสารเคมีป้องกันกำจัดแมลงศัตรูมะนาวในช่วงที่กำลังติดผลเล็ก ๆ
6. ต้นเดือนธันวาคม ใส่ปุ๋ยเคมีเกรด 1:1:1 เช่นปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงให้ผลมีความสมบูรณ์ในขณะที่ผลมะนาวมีขนาดเท่าเมล็ดข้าวโพด
7. ประมาณเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปจะสามารถเก็บผลมะนาวออกจำหน่ายได้ ซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี
8. หลังจากที่ได้ทำการเก็บเกี่ยวผลผลิตหมดแล้ว ประมาณเดือนพฤษภาคมควรทำการตัดแต่งกิ่ง ใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 เพื่อบำรุงต้นให้สมบูรณ์และพร้อมสำหรับการผลิตมะนาวหน้าแล้งในปีต่อไป
 
วิธีที่ 5 เป็นวิธีที่ชาวสวนแถบจังหวัดเพชรบุรีนิยมปฏิบัติกัน ซึ่งมีวิธีการดังนี้
1. ช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงฤดูฝนไม่ควรให้น้ำต้นมะนาว เพราะเป็นช่วงฤดูฝน และการทำให้ใบมะนาวร่วงในช่วงนี้จึงทำได้ยากเพราะยังมีฝนตกอยู่
2. ชาวสวนใช้วิธีทรมานเล็กน้อย โดยใช้กรรไกรตัดปลายกิ่งต้นมะนาวประมาณ 1-2 นิ้วออกทั่วทั้งต้น เสร็จแล้วจึงกระตุ้นด้วยปุ๋ยสูตร 12-24-12 หรือ 9-27-27 ในอัตราต้นละ 1 กิโลกรัม ปุ๋ยดังกล่าวมีธาตุฟอสฟอรัสสูงจึงสามารถเร่งการออกดอกของมะนาวได้
3. ถ้าหากฝนไม่ตกก็ให้ใช้ปุ๋ยเม็ดละลายน้ำรดแทนทิ้งไว้ 14-21 วัน มะนาวจะเริ่มผลิใบและดอกออกมา หลังจากนั้นจึงใส่ปุ๋ยบำรุงต้นมะนาวโดยใช้สูตร 20-14-14 หรือ 20-11-11 ในอัตราต้นละ 200-300 กรัม รวม 3-4 ครั้งโดยห่างกันครั้งละ 1 เดือนเพื่อเร่งให้ผลมะนาวโต
4. ในช่วงนี้ถ้าอากาศแห้งแล้ง ควรพรวนดินและใช้เศษหญ้าคลุมโคนมะนาวพร้อมกับรดน้ำ 10-14 วันต่อครั้ง จากนั้นดอกมะนาวจะค่อย ๆ เจริญเติบโตกลายเป็นผล จนสามารถเก็บจำหน่ายผลได้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งตรงกับช่วงที่มะนาวมีราคาแพงพอดี
 
วิธีที่ 6 ใช้สารพาโคลบิวทราโซล ซึ่งเป็นวิธีใหม่ล่าสุดเท่าที่มีการทดลองอยู่ในขณะนี้ และมีแนวโน้มว่ามะนาวตอบสนองต่อการใช้สารนี้ได้ดี ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติเพื่อให้มะนาวเก็บเกี่ยวได้ในช่วงหน้าแล้ง โดยใช้สารพาโคลบิวทราโซลนั้นสามารถกระทำได้ดังนี้
1. ในเดือนกรกฎาคม ภายหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลมะนาวหมาดแล้ว ใช้บำรุงต้นมะนาวให้สมบูรณ์ โดยทั้งนี้เพื่อจะให้มะนาวแตกใบอ่อน 1 ชุดก่อนการออกดอก
2. ต้นเดือนสิงหาคม ทำการตัดแต่งกิ่งมะนาวให้โปร่ง เพื่อให้ดินแห้ง ต่อจากนั้นควรใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้น สภาพที่ดินเป็นดินเหนียวควรควรใช้ปุ๋ยสูตร 12-24-24 แต่ถ้าเป็นดินทรายให้ใช้ปุ๋ยสูตร 9-24-24 ในอัตรา 1/3 ของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของทรงพุ่มโดยหว่านรอบชายพุ่มเพื่อช่วยเร่งการเกิดดอกได้ดีขึ้น
3. ต้นเดือนกันยายน ให้รดสารพาโคลบิวทราโซลในอัตราเนื้อสาร 1 กรัม (เช่น คัลทาร์ 10 ซี.ซี.) ที่โคนต้นมะนาวในระยะใบเพสลาด แต่ก่อนทำการรดสารนั้นควรให้น้ำกับต้นมะนาว เพื่อให้ดินชุ่ม ซึ่งจะช่วยให้รากดูดซึมสารเข้าไปภายในต้นได้ดีขึ้น
4. ประมาณเดือนสิงหาคมต้นเดือนตุลาคม จะมีดอกมะนาวทะวายทยอยกันออกมาและจะต้องคอยปลิดดอกหรือผลเหล่านั้นทิ้ง เพื่อให้ต้นมะนาวมีอาหารสะสมมากพอสำหรับการเกิดดอกในปลายเดือนตุลาคมถึงปลาย เดือนพฤศจิกายนได้มาก การปลิดดอกทิ้งอาจทำได้โดยใช้สารเคมีบางชนิด เช่น เอ็น.เอ.เอ. (N.A.A.) อัตรา 15-30 ซี.ซี. ผสมน้ำ 20 ลิตร ฉีดให้ดอกและผลร่วง โดยที่ไม่มีอันตรายต่อใบแต่อย่างใด
5. ปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกกำลังบานและมีการผสมเกสรเพื่อเจริญไปเป็นผล ช่วงนี้ต้องคอยดูแลกันเป็นพิเศษ และเมื่อผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือน ซึ่งตรงกับเดือนธันวาคาถึงมกราคม เป็นระยะที่อากาศแห้งแล้งพร้อมกับมะนาวมีการพักตัวและผลัดใบเก่าทิ้ง ผลมะนาวมีโอกาสร่วงได้มากจึงต้องคอยระยังอย่าให้มะนาวขาดน้ำ และถ้าอากาศแห้งมากอาจพรมน้ำได้ด้วยก็ได้
6. หลังจากผลมะนาวมีอายุได้ 1-2 เดือนไปแล้ว จะเป็นช่วงที่ผลมะนาวมีการขยายขนาดของผลมาก จึงควรให้ปุ๋ยสูตร 15-5-20+2 (MgO) หรือสูตร 16-11-14+2 (MgO) ลงไปด้วย ถ้ามะนาวต้นไหนติดผลดกอาจเพิ่มปุ๋ยสูตร 20-10-10 หรือ สูตร 30-20-10 โดยฉีดพ่นทางใบเพื่อช่วยขนาดของผล
7. ประมาณเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน มะนาวก็จะเก็บผลได้ (สำหรับมะนาวที่มีอายุการเจริญเติบโตของผลนานกว่านี้ ควรเลื่อนเวลาการบังคับการออกดอกให้เร็วขึ้นไปอีก)
8. ในเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน หลังจากเก็บผลหมดแล้ว ควรทำการตัดแต่งกิ่งและใส่ปุ๋ยบำรุงต้นโดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก ในอัตรา 20-30 กิโลกรัมต่อไร่และปุ๋ยเคมีเช่นสูตร 15-15-15 เป็นประจำทุกปี ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งกิ่งมะนาวเริ่มแตกใบอ่อนซึ่งตรงกับ ช่วงฤดูฝนพอดี ซึ่งเป็นการเพียงพอที่จะให้มะนาวเก็บสะสมธาตุอาหารโดยเฉพาะพวกแห้งจนถึง ระดับที่จะออกดอกได้ดีในเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน แต่ถ้ากิ่งมะนาวแตกใบอ่อนล่าออกไปจนถึงปลายฤดูฝน อาจทำให้มะนาวออกดอกได้ไม่มากเพราะมีระยะเวลาที่จะสะสมอาหารพวกแห้งได้น้อย และถ้าหากต้นมะนาวไม่แตกใบอ่อนออกมา เราอาจใช้วีตัดปลายกิ่งหรือตัดแต่งกิ่งให้โปร่งและให้ปุ๋ยที่มีธาตุไนโตรเจน สูงพร้อมทั้งให้น้ำอย่างสม่ำเสมอและในปริมาณที่เพียงพอ หรืออาจพิจารณาใช้สารที่กระตุ้นการพักตัวเช่น ไทโอยูเรีย 0.5% ฉีดพ่นให้ทั่วต้นในระยะที่ใบแก่จัดซึ่งจะทำให้มะนาวแตกใบอ่อนออกมาได้ ซึ่งเป็นการเตรียมตัวเพื่อจะบังคับให้มะนาวออกดอกและเก็บผลในหน้าแล้งต่อไป ได้

ขอบคุณที่มา :  www.facebook.com

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับอายุยืนแบบญี่ปุ่น

เคล็ดลับอายุยืนแบบชาวโอกินาวา ...ไม่ยากเลยที่จะปฏิบัติตาม !!
ชาวโอกินาวา  ที่อาศัยอยู่ที่เกาะโอกินาวา ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น  ส่วนมากจะอายุยืน
เกือบร้อยปี หรือร้อยปีขึ้นไปทั้งนั้น

 
(แผนที่เกาะโอกินาวา ญี่ปุ่น)



ชาวเกาะโอกินาวานี้  ชอบรับประทานมันหวานเป็นชีวิตจิตใจ แทบ
จะแทนข้าวเลยทีเดียว  มันหวานนี้อุดมไปด้วย  โปแตสเซียม 
วิตามินซี  ไฟเบอร์  แคโรทีน   และถึงแม้จะเรียกว่า  มันหวาน  ก็
ไม่หวานมากนัก   มีระดับน้ำตาลที่ไม่สูง  จึงไม่มีผลต่อน้ำตาลใน
เลือด


 

ชาวโอกินาวาชอบเข้าสังคม  โดยจะรวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มเล็กๆ 
ประมาณ  4-5 คน   การเข้าสังคมนี้ จะทำให้สนุกครึกครื้น และ
ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ โดยเฉพาะโรคหัวใจและโรคมะเร็ง
ได้ดีทีเดียว



ชาวโอกินาวา นอกจากจะชอบรับประทานมันหวาน และชอบการ
เข้าสังคมแล้ว   นายแพทย์ โรเจอร์ เฮนเดอร์สัน  ได้เคยสรุปวิธี
รักษาสุขภาพแบบชาวโอกินาวาไว้  ถือเป็นเคล็ดลับอายุยืนแบบ
ชาวโอกินาวาได้เลย   ดังนี้

1. กินผัก

รับประทานมะระญี่ปุ่นที่เรียกว่าโกย่า ผัดกับเต้าหู้และไข่เป็น
อาหาร ถ้ามีเงินทองหน่อยก็มักจะผัดกับหมู   มะระญี่ปุ่นนั้นมีสาร
ที่เรียกว่า “โพลีฟีนอล” ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ป้องกัน
การเสื่อมสภาพของเซลล์เนื้อเยื่อในร่างกายเป็นจำนวน มาก
และเต้าหู้ทั้งหลายที่ชาวญี่ปุ่นชอบรับประทานนั้นมีสารอาหาร
ที่เรียกว่า “ไฟโตเอสโตรเจน” ซึ่งเชื่อกันว่า ช่วยลดโอกาสการ
เป็นโรคหัวใจขาดเลือดไป  มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
ที่เป็นโรคร้ายในวัยชราทั้งสิ้น

2.  กินปลา
ชาวโอกินาวากินปลาทะเลที่มีมัน ทำให้ได้น้ำมันชั้นดี  (โอเมก้า
จากปลา)   อาหารหลักเป็นกลุ่มผักกับปลา ได้แก่  กระเทียม
ขิง หัวหอม มะเขือเทศ ปลา และถั่วเหลือง

3.  กินนมและเนื้อแดงน้อยมาก
การกินเนื้อและผลิตภัณฑ์นมน้อย มีส่วนทำให้ได้รับไขมันอิ่มตัว
น้อยลง  ประเด็นสำคัญอยู่ที่การปรุงเนื้อหมูของชาวโอกินาวานั้น
มักจะปรุงทั้งเนื้อหมู หนังหมู กระดูกหมู มาเคี่ยวปนกันเป็น
เวลานาน จนไขมันที่ละลายอยู่ ระเหยออกไปหมดสิ้น

เคล็ดลับจึงอยู่ตรงนี้ เพราะไขมันสัตว์นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
เป็นอย่างมาก การรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสัตว์น้อย
ที่สุดเท่าที่จะทำได้  จึงทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด
ลดลงไป

4. ประเพณีวัฒนธรรมที่เรียกว่า "hara hachi bu"
หมายความว่า "รับประทานให้อิ่มเพียง 80% ของขนาดกระเพาะ
อาหาร" ซึ่งถือปฏิบัติอย่างกว้างขวางบนเกาะโอกินาวา

ชาวโอกินาวารับประทานอาหารที่มีแคลอรี่น้อยกว่าโดยเฉลี่ย
ร้อยละ 20  ซึ่งตามปกติคนญี่ปุ่น ก็รับประทานอาหารน้อยกว่า
ชนชาติอื่นๆ อยู่แล้ว นั่นหมายความว่าเมื่อเทียบกับผู้ใหญ่
เพศหญิงในประเทศยุโรปโดยทั่วไป  ที่บริโภคแคลอรี่มากกว่า
2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน

ชาวโอกินาวากลับบริโภคอาหาร ที่ให้พลังงานต่อวันเพียง 1,500
กิโลแคลอรี่ ซึ่งอาจเป็นเคล็ดลับที่ทำให้พวกเขาอายุยืน คือ
รับประทานให้ไม่อิ่มมาก นั่นเอง

5. ใช้แรง
วิถีชีวิตของชาวโอกินาวาเป็นวิถีชีวิตที่ใช้แรงงานมาก  มีเครื่อง
ทุ่นแรงน้อย มีกิจกรรมการเคลื่อนไหวอยู่เป็นนิจ ทำงานบ้านเอง
ปลูกผักสวนครัว เข้าสังคม และมีกิจกรรมออกกำลังกายเป็นกลุ่ม
ตั้งแต่การร่ายรำแบบพื้นเมือง ฝึกคาราเต้ รวมถึงการออกกำลังกาย
แบบมวยจีน  ต้นแบบของคาราเต้ เกิดขึ้นที่โอกินาวา และมีการ
พัฒนาการตั้งแต่การฝึกสมาธิ ฝึกลมหายใจ ฝึกการเคลื่อนไหว
ร่างกายจนถึงการต่อสู้ เรียกว่า “โกจูริว” (Goju-Ryu)   ดูแล้ว
คล้ายๆ กับชี่กงหรือโยคะนั่นเอง

6.  ฝึกสมาธิ
ชาวโอกินาวามีการฝึกสมาธิ เป็นประจำ (ไม่ได้กล่าวไว้ว่าฝึกสมาธิ
ชนิดใด)

7. สายสัมพันธ์
ชาวโอกินาวา มีชีวิตเรียบง่าย อยู่อย่างพอเพียง โอบอ้อมอารี
ใจเย็น มองโลกในแง่ดี มีชีวิตความเป็นอยู่แบบครอบครัวเยี่ยง
ชาวเอเชียทั่วไป พึ่งพาอาศัยเกื้อกูลซึ่งกันและกัน

สิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานหล่อหลอมจิตใจให้เป็นคนดี คิดบวก
ปราศจากความเครียด

(อย่างไรก็ตาม ระยะหลังอารยธรรมตะวันตกเริ่มเข้ามามีบทบาท
ทำให้วิถีชีวิตเริ่มเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว)

จะเห็นได้ว่า  เคล็ดลับอายุยืนแบบชาวโอกินาวา  ทั้ง 7  ข้อนี้นั้น
ไม่ยากที่จะปฏิบัติตาม ใช่ไหมครับ  หากปรารถนาที่จะมีสุขภาพ
แข็งแรงและอายุยืนแบบชาวโอกินาวา 

 ดูวีดีโอได้ที่นี่ครับ



ขอบคุณที่มา : http://www.oknation.net/blog/print.php?id=883410
และ www.youtube.com

วิธีทำให้อายุยืน 100 ปี

  1. เติมพลังด้วยอาหารคุณภาพดี
    ในแต่ละวัน ควรรับประทานอาหารให้หลากหลาย เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักและผลไม้สด เนื้อไม่ติดมัน ปลา สัตว์ปีก ไข่ ถั่วและผลิตภัณฑ์จากนม เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปและดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ ตลอดวัน

  2. ขยับร่างกาย

    การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีประโยชน์ต่อหนทางสู่อายุที่ยืนยาว เช่น ช่วยให้สุขภาพหัวใจและปอดแข็งแรง ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและช่วยจัดการกับความเครียด ตามที่ Dr. Maoshing Ni ผู้เขียน Secrets of Longevity: Hundreds of ways to be 100 กล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีอายุยืนมากกว่า 100 ปีส่วนใหญ่จะเดินอย่างน้อย 30 นาทีทุกวันและงานวิจัยสนับสนุนว่าการเดินสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค หัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

  3. ลดความเครียด
    ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากคุณสามารถจัดการกับระดับความเครียดได้ คุณก็จะสามารถเพิ่มพลังให้กับชีวิต ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง

  4. ป้องกันจากอนุมูลอิสระ

    เป็นที่เชื่อกันว่าความเสียหายจากอนุมูลอิสระเป็นสาเหตุของความชราและโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา
    สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี สามารถปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ โดยมีการศึกษาในประเทศอิตาลีพบว่าผู้ที่อายุยืนกว่า 100 ปี มีระดับของวิตามินเอและวิตามินอีสูง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่อายุยืน

  5. เพิ่มพลังสมอง

    กันการเสื่อมถอยของการเรียนรู้และคงไว้ซึ่งความเฉียบคมของสมองสามารถทำได้ ด้วยการบริหารสมอง การบริหารสมอง เช่น การเล่นเกมส์ที่เกี่ยวกับการวางแผนและความจำ เช่น หมากรุก และไพ่บริดจ์ หรืออาจลองทำกิจกรรมที่ทดสอบความรู้ด้านคำศัพท์ เช่น อักษรไขว้ และสแครบเบิล หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น ภาษาต่างประเทศ หรือหัดเล่นเครื่องดนตรี

  6. ดูแลหัวใจ

    โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเป็นอันดับหนึ่งในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของคนไทยรองจากโรคมะเร็งและอุบัติเหตุ แต่โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่ส่วนใหญ่แล้วสามารถป้องกันได้ การดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงด้วยอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่าง สม่ำเสมอ จะขจัดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงและอาหารแปรรูป

  7. รับแสงอาทิตย์

    ผลจากศึกษาล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาพบว่าการได้รับแสงแดดวันละ 15 นาทีช่วยให้อายุยืนได้เนื่องจากป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินดี การเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกายจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง อีกทั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินดีก็มีส่วนช่วยป้องกันโรค กระดูกพรุนและโรคอื่นๆ บางโรค

  8. เพิ่มภูมิต้านทาน

    เมื่ออายุมากขึ้นภูมิต้านทานจะเริ่มลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น กีวี ผักที่มีสีแดงและสีเหลือง บรอคโคลี รวมทั้งธาตุสังกะสีที่พบมากในหอยนางรม ถั่ววอลนัท และธัญพืชไม่ขัดสี จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย

  9. ทำงานอาสา

    จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า การมีส่วนร่วมในงานอาสาสมัครสามารถเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างมากระหว่างการทำงานอาสาสมัคร และสุขภาพ โดยผู้ที่ทำงานอาสาสมัครจะมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำกว่า และมีความสามารถในการทำงานสูงกว่า และมีอัตราการเกิดโรคซึมเศร้าในวัยชราต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำงานอาสาสมัคร

  10. เล่นกับสัตว์เลี้ยง

    Australian Companion Animal Council Inc. ระบุว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดี ส่งเสริมให้เกิดการออกกำลังกาย และเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง การมีสัตว์เลี้ยงอาจช่วยลดจำนวนครั้งที่ไปพบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปและอาจลด ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

  11. หัวเราะดังๆ

    การหัวเราะช่วยให้สุขภาพทั้งร่างกาย อารมณ์ จิตวิญญาณ และจิตใจดีขึ้น ลองสมัครเข้าร่วมอบรมฝึกหัวเราะหรือพูดคุยเรื่องสนุกสนานกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวถึงเรื่องที่ทำให้คุณได้หัวเราะดังๆ เพื่อมุ่งสู่หนทางอายุยืน 

เคล็ดลับอายุยืน

25 เคล็ดวิธีอายุยืน สุขภาพดีไปอีกน้านน...นาน (Lisa)


          จากงานวิจัยกว่า 500 ชิ้น เหล่าผู้เชี่ยวชาญต่างเห็นพ้องกันว่า อายุขัยที่ถูกต้องของมนุษย์ควรอยู่ 120 ปีหรือมากกว่านั้น! แต่เมื่อดูจากรูปการณ์ในปัจจุบันแล้ว แนวโน้มอายุขัยของมนุษย์เรามีแต่จะสั้นลงทุกที แล้วเราจะทำยังไงให้มีอายุยืนยาว ไม่ต้องถึงร้อยสองร้อยปีหรอก แค่ยืดไปได้อีก 10 ไปก็ถือว่ายอดแล้ว

          ว่า แล้วเรามาลองทำตามคำแนะนำเหล่านี้กันดู แม้จะไม่มีวันรู้ได้ว่าอายุขัยของเราจะยืนยาวขึ้นอีกกี่ปี แต่อย่างน้อย ๆ สิ่งที่เห็นผลทันตาก็คือสุขภาพดีที่ตามมาแน่นอน






1. ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

          คนที่ออกกำลังอยู่เสมอมีโอกาสที่จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ ได้ออกกำลัง นอกจากนี้ ในงานศึกษาชิ้นหนึ่งยังพบว่า คนที่ออกกำลังน้อยกว่าปกติมีโอกาสที่จะเสียชีวิตก่อนวัยอันควรสูงกว่ากลุ่ม คนที่ออกกำลังเป็นประจำถึง 3 เท่า



 2. หัวเราะเข้าไว้

          การหัวเราะเป็นยาวิเศษที่ช่วยลดฮอร์โมนความเครียด และเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ การหัวเราะยังเป็นเหมือนการออกกำลังย่อม ๆ ว่ากันว่าหากหัวเราะ 100-200 ครั้งจะเท่ากับการวิ่ง หรือพายเรือ 10 นาทีเลยทีเดียว

3. เข้านอนช้าลง

          อ๊ะ! ฟังให้ดีก่อน จริงอยู่ว่าการนอนน้อยอาจส่งผลเสียต่อร่างกายหลาย ๆ อย่าง แต่มีงานศึกษาทางด้านจิตเวชชิ้นหนึ่งเผยว่า ระยะเวลาในการนอนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์คือ 6-7 ชั่วโมงต่อวัน การนอนมากกว่า 8 ชั่วโมง หรือน้อยกว่า 4 ชั่วโมงต่อวันอาจส่งผลให้อัตราการตายเพิ่มสูงขึ้นได้

4. ขยันมีกิจกรรมบนเตียง

          คู่รักที่มีกิจกรรมบนเตียงร่วมกันจะดูเด็กกว่าคู่ที่ไม่ได้ทำการบ้านด้วยกัน ได้ถึง 7 ปี เพราะเซ็กส์จะช่วยคลายความเครียด ทำให้เรามีความสุข และนอนหลับได้สนิทยิ่งขึ้น

ดื่มน้ำ

5. ดื่มน้ำเยอะ ๆ

          เพราะร่างกายมีน้ำอยู่ถึง 55-75 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น อาการกระหายน้ำจึงเป็นสัญญาณเตือนว่าร่างกายเริ่มเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ การดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยในเรื่องระบบการย่อย การดูดซึมสารอาหาร ช่วยให้ผิวชุ่มชื้นช่วยขับสารพิษ และดีต่อสุขภาพโดยรวม

6. กินกระเทียม

          กระเทียมได้ชื่อว่าเป็นยาปฏิชีวนะจากธรรมชาติ มีประโยชน์ในการขับพิษ บำรุงสุขภาพหัวใจและการไหลเวียนของเลือด นอกจากนี้ยังช่วยต่อสู้กับอาการติดเชื้อและเสริมภูมิต้านทาน อีกทั้งยังมีหลักฐานบ่งชี้ว่า กระเทียมช่วยป้องกันมะเร็งในระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย สำหรับผู้ที่ไม่ชอบกระเทียมแนะนำให้กินในรูปของอาหารเสริมที่ไม่มีกลิ่น

7.หม่ำช็อกโกแลต

          สารต้านอนุมูลอิสระและฟลาโวนอยด์ในช็อกโกแลตจะช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจ และลดความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อในร่างกาย แต่แนะนำให้เป็นดาร์กช็อกโกแลตจะดีกว่า เพราะนอกจากปริมาณแคลอรี่ที่น้อยกว่าแล้ว ดาร์กช็อกโกแลตยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่มากกว่าช็อกโกแลตนมถึง 2 เท่า

8. เลี่ยงอาหารที่มีกระบวนการเก็บรักษาที่ไม่ดี

          โบทูลินั่ม ท็อกซิน (Botulinum Toxin) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อของโบท็อกซ์ เป็นหนึ่งในสารพิษที่ร้ายแรงที่สุดจากธรรมชาติ สารชนิดนี้เกิดจากอาหารที่เก็บรักษาไม่ดีจนก่อให้เกิดแบคทีเรียชนิดหนึ่ง พบได้ในไส้กรอก เนื้อเค็ม หรือเนื้อรมควัน และน้ำผึ้งที่มีการเก็บรักษาไม่ดี นอกจากนี้ การตายจากสารโบท็อกซ์ยังอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ที่นำไปให้เพื่อวัตถุประสงค์ ทางด้านความงามด้วย

ผลไม้

9. กินผักผลไม้เยอะ ๆ

          ผักผลไม้จะช่วยยับยั้งการเกิดโรคหัวใจ เส้นเลือดอุดตัน และมะเร็งบางชนิด สารอาหารในผักและผลไม้ช่วยควบคุมความดันเลือดและปริมาณคอเลสเตอรอลได้ อีกทั้งกากใยของอาหารเหล่านี้ยังส่งผลดีต่อระบบขับถ่ายด้วย

10. รักษาแผลให้สะอาด

          สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แบคทีเรียเป็นสาเหตุของการตายที่จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ แม้แต่รอยขีดข่วนเพียงเล็กน้อยก็อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้ ดังนั้นอย่ามองข้ามแผลแค่แมวข่วน หรือกระดาษบาดเสียล่ะ

11. จิบชา

          จะชาเขียวหรือชาดำก็มีสารต้านอนุมูลอิสระและประโยชน์เท่ากัน นักวิจัยแนะว่าการดื่มชาดำหนึ่งแก้วต่อวันช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรค หัวใจ และช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตจากอาการหัวใจวายในผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ได้ถึง 28 เปอร์เซ็นต์

12. ดื่มไวน์แดง

          งานศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้พบว่า การดื่มไวน์แดงหนึ่งแก้วต่อวันจะช่วยป้องกันมะเร็งและโรคหัวใจ และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและความดันเลือดได้ด้วย เป็นข้ออ้างสำหรับการดื่มที่ฟังดูดีใช่มั้ยล่ะ


ล้างมือ

13. ล้างมือบ่อย ๆ

          ท้องร่วงเป็นหนึ่งในสาเหตุการตายที่พบได้มากในแต่ละปี ดังนั้น ยามใดที่ออกไปนอกบ้านก็อย่าลืมล้างมือเสียล่ะ หากไม่สะดวก เจลล้างมือ หรือทิชชูเปียกช่วยคุณได้

14. ตรวจเช็กร่างกายอยู่เสมอ
          สำหรับคุณสาว ๆ หมายถึงการตรวจเช็กหน้าอกของตัวเองอยู่เป็นประจำ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมในระยะที่ยากเกินจะรับมือ และบรรดาคุณผู้ชายควรสำรวจน้องชายของตัวเองอยู่เสมอ เพื่อเตรียมรับมือกับมะเร็งอัณฑะที่อาจเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ ยังควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพประจำปีควบคู่ไปด้วย

ลดน้ำหนัก
15. ระวังเรื่องน้ำหนัก

          กินมากเกินไปคือหนึ่งในสาเหตุของความชรา และยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และมะเร็งที่สำไส้ใหญ่ ถุงน้ำดี รังไข่ และเต้านมได้ด้วย ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญรายหนึ่งเผยว่า ในแต่ละปีมีอัตราการเกิดอาการหัวใจวายอันเนื่องมาจากโรคหัวใจ และหลอดเลือดถึงปีละ 270,000 ราย และ 280,000 ราย จากจำนวนผู้ป่วยทั้งหมดมีสาเหตุมาจากความอ้วน

16. ไม่สูบบุหรี่

          ทุกคนรู้ดีถึงโทษของบุหรี่ บุหรี่หนึ่งมวนอาจหมายถึงอายุขัยที่สั้นลง 6 นาที ดังนั้น ยิ่งเลิกสูบได้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืดอายุคนที่อยู่รอบตัวคุณด้วย

ทำสมาธิ

17. รู้จักผ่อนคลาย

          การผ่อนคลายช่วยลดความดันเลือด และลดความเครียดที่อาจเป็นสาเหตุของโรคซึมเศร้า ทั้งนี้ เทคนิคการผ่อนคลายอย่างการเล่นโยคะ และการทำสมาธิสามารถช่วยคุณได้

18. หลีกเลี่ยงแสงแดด

          การเลี่ยงการเผชิญหน้ากับแสงแดดที่มากเกินไป จะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง และยังช่วยปกป้องผิวของคุณจากฝ้า กระ จุดด่างดำ และริ้วรอยต่าง ๆ ที่เป็นตัวบ่งบอกถึงความร่วงโรย ดังนั้น ก่อนออกจากบ้าน อย่าลืมใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปทุกครั้ง

19. หนีไปอยู่ต่างจังหวัด

คน ที่อาศัยอยู่ในแถบชนบทจะมีช่วงอายุขัยที่ยาวนานกว่าคนในเมือง และจากงานศึกษาหลายชิ้นพบว่า คนเมืองที่อาศัยอยู่ใกล้พื้นที่สีเขียวแบบเปิดโล่ง มีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนกว่าคนที่อาศัยอยู่ในย่านที่ถูกรายล้อมด้วยป่า คอนกรีต


แต่งงาน

20. สังสรรค์กับเพื่อน แต่งงาน หรือเลี้ยงสัตว์

          อาจฟังดูเหลือเชื่อ แต่แหล่งข่าวที่เชื่อได้หลายแหล่งบอกตรงกันว่า สัมพันธภาพเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันความดันโลหิตสูงที่อาจเสี่ยงต่อการเกิด ภาวะเส้นเลือดอุดตันและหัวใจวายได้ ชีวิตแต่งงานจะช่วยยืดอายุขัยของผู้ชายไปอีก 7 ปี และ 3 ปีสำหรับผู้หญิง ส่วนสัตว์เลี้ยงโปรดจะช่วยให้คุณคลายเครียด ช่วยลดความดันโลหิต และยังช่วยให้ผู้ที่ตกอยู่ในภาวะหัวใจวายมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้นด้วย

21. มองโลกในแง่ดี

          ผลการวิจัยพบว่าคนที่คิดบวกจะมีอายุยืนกว่า เนื่องจากการมองโลกในแง่ดีจะช่วยลดโอกาสในการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับคนที่มักมองโลกในแง่ร้าย

22. ปิดทีวี

          การใช้เวลาที่หน้าจอสี่เหลี่ยมมากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ จากงานศึกษาเมื่อปี 2010 เผยว่า กลุ่มคนที่ดูทีวีมากกว่า 4 ชั่วโมงต่อวัน มีโอกาสเสียชีวิตด้วยสาเหตุต่าง ๆ ได้มากกว่ากลุ่มที่ดูทีวีน้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวันถึง 46 เปอร์เซ็นต์

ช้อปปิ้ง

23. ทำกิจกรรมสันทนาการเมื่อแก่ตัวลง

          การทำสวน หรือช้อปปิ้งจะส่งผลดีต่อคุณในแง่ของการออกกำลัง นักวิจัยหลายคนบอกเอาไว้ว่า กุญแจสำคัญของความสุขก็คือการทำอะไรก็ได้ที่ชอบและรู้สึกดีกับตัวเอง

24. ไม่หอบงานกลับไปทำที่บ้าน
          เพราะนั่นหมายถึงคุณไม่สามารถจัดการกับภาระหน้าที่ที่มีอยู่ได้ และอาจทำให้เกิดความเครียดในที่สุด คนที่เครียดจะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 20 เท่า และความเครียดยังไปบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกันและสารต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย อันเป็นสาเหตุของโรคและริ้วรอยต่าง ๆ อีกด้วย

25. เลือกหมอที่วางใจได้

          ว่ากันว่าผู้ป่วย 1 ใน 10 มักจะได้รับการรักษาที่ไม่ถูกต้อง แม้ว่าคนไข้ส่วนใหญ่จะไม่ตาย แต่หากถูกหามไปส่งโรงพยาบาลคุณก็มีโอกาสเป็น 1 ใน 100 ที่อาจถูกกระตุ้นให้เสียชีวิตเร็วขึ้น และการกระตุ้นเหล่านั้นมักเกิดจากอุบัติเหตุมากกว่าเจตนา


ขอบคุณที่มา : http://health.kapook.com/view51365.html

10 เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี

10 เคล็ดลับเพื่อสุขภาพดี (ไทยโพสต์)

          ปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องยอดฮิตติดปากของคนไทยทุกวันนี้แล้ว  เห็นได้จากการทำบุญไหว้พระ คำว่า "ขอให้มีสุขภาพแข็งแรง" กลายเป็นคำอธิษฐานมาแรงแซงหน้าในยุคปัจจุบัน จึงเป็นเหตุผลให้ผู้คนมากมายในสังคมมองหาหนทางรักษาสุขภาพของตัวเอง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยอันนำมาซึ่งความเสียหายและปัญหาอื่น ๆ ตามมามากมาย




          ล่า สุด นิตยสาร  H to H Magazine ได้รายงาน  "10  ทิปเพื่อการมีสุขภาพดี"  โดยสนับสนุนข้อมูลจากโรงพยาบาลเปาโล  เมโมเรียล เราจึงนำมาบอกต่อเพื่อให้คุณ ๆ ได้ลองพิจารณา เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลย
 1.แอปเปิ้ลวันละผล

          คำพูดที่ว่า  an apple a day,  keeps doctor away เป็นจริงเสมอ จากการศึกษาของมหาวิทยาลัยลอนดอนพบว่า การรับประทานแอปเปิ้ลวันละผลจะทำให้การทำงานของปอดดีขึ้น จากแอนติออกซิเดนต์และสารในแอปเปิ้ลที่เรียกว่า quercetin ซึ่งช่วยทำให้ปอดแข็งแรงและทำงานได้อย่างเป็นระบบ

2.หายใจลึก ๆ

          เราควรหายใจให้ลึกเพื่อขยายการทำงานของปอด และทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ แต่ทุกวันนี้เรามักหายใจสั้น ๆ เนื่องจากการทำงานในที่อับทึบ หรือเพราะความไม่รู้ เพราะฉะนั้นในแต่ละวันลองหายใจลึก ๆ ให้ได้อย่างน้อยวันละ 10 ครั้ง และต้องเป็นแบบหายใจเข้า ท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบด้วย จึงจะเรียกว่าถูกวิธี

3.หลีกเลี่ยงการนำผักเข้าไมโครเวฟ

          จากการวิจัยของสเปนพบว่า การทำผักให้สุกในไมโครเวฟจะทำให้สารอาหารหายไปได้ถึง 97 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นทางเลือกที่เราควรจะเลือกคือ การรับประทานผักสด ๆ หลีกเลี่ยงผักแบบไมโครเวฟ แม้อาหารกล่องอาจให้รสอร่อย แต่จงรู้ไว้ว่าสารอาหารนั้นไม่มีเหลือแล้ว

4.ขยับตัวเสมอ..สังเกตไหม

          คนที่ขยับตัวอยู่เสมอจะมีระบบย่อยอาหารที่ดีกว่าคนที่เอาแต่นั่ง วิธีนี้ช่วยป้องกันอาการท้องผูก รวมไปถึงโรคกระดูกพรุนด้วย

5.ประโยชน์ของน้ำมะพร้าว

          น้ำมะพร้าวเป็นน้ำผลไม้ที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการครบถ้วน เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส กรดอะมิโน และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคส ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้เป็นพลังงานได้ทันที มีไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย และมีประโยชน์ในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกาย เป็นต้น

6.เมื่อเป็นไข้ไม่ควรกินฝรั่ง

          ในฝรั่งมีแร่โพแทสเซียมสูง เมื่อเวลาเป็นไข้ ร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น การรับประทานอาหารที่มีโพแทสเซียมสูงจะส่งผลต่อการเกิดอาการชักได้

7.กินส้มช่วยแก้อาการเบื่อหน่ายได้

          การรับประทานส้มโดยปอกเปลือกเอง จะมีกลิ่นส้มที่ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และวิตามินซีที่ร่างกายได้รับในจำนวนที่เพียงพอ ช่วยให้สมองหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้คลายความเครียดได้ดีออกมาด้วย

8.การกินอาหารมื้อเช้าช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม

          อาหารมื้อเช้าช่วยต่อต้านการแข็งตัวของเลือด เลือดตอนเช้าจะแข็งตัวง่ายกว่าปกติ จึงมีโอกาสที่หลอดเลือดจะอุดตันมากขึ้น สารอาหารไปเลี้ยงสมองได้น้อยลง สมองจึงค่อย ๆ เสื่อม

9.ดาร์กช็อกโกแลตต่อต้านอนุมูลอิสระ

          รู้ไหมว่า ช็อกโกแลตชนิดอื่น ๆ แทบไม่มีส่วนผสมของโกโก้เลย มีเพียงดาร์กช็อกโกแลตเท่านั้นที่เป็นช็อกโกแลตแท้ ๆ และยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะมีสารเฟลวานอยด์ที่ช่วยเพิ่มการไหลเวียนระบบหลอดเลือด โดยปริมาณที่เหมาะสมคือ ในแต่ละวันให้รับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์

10.สมการความสุข  y=b+c
          y  คือ  ความสุข  b คือ  ความรู้ว่าทำอย่างไรจึงจะมีความสุข อาทิ มีความเข้าใจชีวิตว่าเป็นอย่างไร  รู้จักองค์ประกอบของชีวิต เป็นต้น  c คือ ความอยากในชีวิต  หากมีความอยากมากกว่าความรู้ที่จะทำให้ชีวิตมีความสุข คนคนนั้นก็มีความสุขที่ติดลบ

ขอบคุณที่มา : http://health.kapook.com/view398.html