วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

การศึกษาไทยและฟินแลนด์

เปรียบเทียบการศึกษาไทยและฟินแลนด์ ทำไม เขาที่หนึ่งเราเกือบโหล่
ฟินแลนด์ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณห้าล้านคน มีความน่าสนใจมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนของเขา คนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรฐกิจน้อยมาก เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจัง
ในการสำรวจประเมินผลดัชนีทางการศึกษาล่าสุด
นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลก
การจัดอันดับนี้ทำโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรฐกิจและพัฒนา
ซึ่งใช้รูปแบบการวัดผลที่เน้นวัดความรู้ในการแก้ปัญหาและการใช้ภาษาของคนทั่วโลก
ที่ชื่อ PISA (Program For International student Assessment )
สิ่งที่น่าแปลกคือ การจัดการศึกษาของเขากับของเรามันช่างตรงกันข้ามจริงๆครับ
เรื่องแรก ที่ฟินแลนด์จะให้เด็กเรียนเมื่ออายุหกเจ็ดขวบ เขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาลเพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัว
เขาเชื่อว่าครอบครัวให้ความรัก ความรู้และถ่ายทอดวัฒนธรรม สร้างสิ่งดีงามให้เด็กได้ดีกว่าโรงเรียนอนุบาล
ส่วนบ้านเรา แข่งกันเข้าอนุบาล เดี๋ยวนี้มีติวเข้าอนุบาลกันแล้ว
เรื่องที่สอง เด็กที่นี่เรียนไม่เกินวันละห้าชั่วโมง (ในระดับประถม) ด้วยแนวคิดที่จะให้เด็กมีเวลาทำสิ่งที่ชอบกิจกรรมที่สนใจ  ส่วนเด็กไทย อัดกันเข้าไป
เรื่องที่สาม ห้องเรียนเขากำหนดให้มีเด็กห้องละ 12 คนมากสุดก็ 20 คน
โรงเรียนยิ่งดีก็ยิ่งจำกัดจำนวนเด็กต่อห้อง เพราะเขาจะพัฒนาคน และคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เขาอยากพัฒนาศักยภาพที่เด็กแต่ละคนมี การดูแลเป็นรายคนจึงสำคัญ
ส่วนของเรา บางโรง ห้องละ 50 คนครับ
เรื่องที่สี่ เขาไม่ให้เกรดเฉลี่ยมาเป็นตัวสร้างความภูมิใจ หรือ อับอายให้เด็ก
การเรียนคือการพัฒนาแต่ละคนไม่ใช่การแข่งขัน ประเทศนี้จึงไม่มีเกรดเฉลี่ยครับ
เรื่องที่ห้า การสอบเขาจะไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ

เขาให้โรงเรียนกำหนดข้อสอบที่แตกต่างกันตามวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโรงเรียน
เรื่องที่หก เขาจ้างผู้อำนวยการมาบริหาร และให้กรรมการโรงเรียนดูแล ผลงานไม่ดีก็เชิญออกได้
เขาไม่ได้ใช้ระบบราชการ ระบบวิ่งเต้นเอาใจนักการเมือง เอาใจผู้ใหญ่ในกระทรวงหรือใครมีอายุราชการนานแค่ไหน  โรงเรียนเขาจึงมีคุณภาพ

เรื่องสุดท้ายของวันนี้ (ความจริงมีอีกเยอะครับ) คือ ครูของเขาทุกคนตั้งใจอยากเป็นครู
คนที่เก่งที่สุดของประเทศจะแข่งกันเป็นครู ครูทุกคนจบการศึกษาด้านครูในระดับปริญญาโท
ส่วนใครเรียนด้านอื่นก็ต้องไปต่อ ป.โทด้านครูครับจึงมาสมัครสอนได้
แค่นี้คงพอมองออกนะครับว่าเราทำการศึกษาตรงข้ามเขาขนาดนี้ผลงานมันเลยออกมาตรงข้ามกัน
บทความโดย

ดร.วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์@eduzones.com

เขื่อนแม่วงค์

เขื่อนแม่วงก์ กระทบอะไรบ้าง ทำไมต้องคัดค้านสร้างเขื่อนแม่วงก์

เขื่อนแม่วงก์


          เขื่อนแม่วงก์ กระทบอะไรบ้าง มาดูกัน ทำไม นายศศิน เฉลิมลาภ เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม และหลายฝ่ายต้องออกมาคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์

          เป็นเรื่องราวที่กำลังเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ สำหรับการรณรงค์คัดค้านโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ ซึ่งมีประชาชนและกลุ่มนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมจากหลายภาคส่วนออกมาเคลื่อนไหว โดยเฉพาะการเดินเท้าคัดค้าน การอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) เขื่อนแม่วงก์ 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมือง ซึ่งนำโดย นายศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบนาคะเสถียร

          งานนี้ หลายคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวคราวมาตั้งแต่ต้น อาจจะสงสัยว่า เขื่อนแม่วงก์คืออะไร มีแผนจะสร้างขึ้นเพื่ออะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ใช้งบประมาณเท่าไหร่ มีผลดี-ผลเสียอย่างไร และที่สำคัญ ทำไมถึงต้องออกมาคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ซึ่งทางกระปุกดอทคอม ก็ขอนำเรื่องราวความเป็นมาของเขื่อนแม่วงก์ รวมถึงผลกระทบจากการสร้างเขื่อน และสาเหตุที่หลายฝ่ายต้องออกมาคัดค้าน จากข้อมูลของเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม เรื่อง "ทำไม!!…ต้องค้านเขื่อนแม่วงก์" เมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 ซึ่งได้เผยแพร่ในเว็บไซต์ thaipublica.org และบทความเรื่อง "เมื่อแก้น้ำท่วมไม่ได้ แก้ภัยแล้งไม่ได้ แล้วเหตุผลของ 'เขื่อนแม่วงก์' คืออะไร ?" จากมูลนิธิโลกสีเขียว มาฝากกันด้วยค่ะ

          โดย เขื่อนแม่วงก์ เป็นโครงการสร้างเขื่อนหินทิ้งแกนดินเหนียวขนาดใหญ่ ซึ่งวางแผนการก่อสร้างที่บริเวณเขาสบกก ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมและเพื่อให้เกษตรกรในเขตชลประทานมีน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง โดยเขื่อนแม่วงก์ มีความสูง 57 เมตร สันเขื่อนยาว 730 เมตร กว้าง 10 เมตร ความจุของอ่างเก็บน้ำประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร ใช้งบประมาณก่อสร้างทั้งสิ้น 13,280 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี

ความเป็นมาของเขื่อนแม่วงก์ มีดังนี้

           ปี 2525 กรมชลประทานริเริ่มโครงการเขื่อนแม่วงก์

          
 ปี 2537 มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) มีความเห็นให้กรมชลประทานศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมบริเวณเขาชนกัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงกว่าเขาสบกก

          
 ปี 2540 กรมชลประทานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติมตามมติ คชก.

          
 ปี 2541 มติที่ประชุม คชก. วันที่ 23 มกราคม ครั้งที่ 1/2541 "ไม่เห็นชอบกับการดำเนินโครงการเขื่อนแม่วงก์"

          
 ปี 2543 ทำประชาพิจารณ์โครงการเขื่อนแม่วงก์

          
 ปี 2545 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติครั้งที่ 3 ยังไม่เห็นชอบต่อรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ให้กรมชลประทานหาทางเลือกของที่ตั้งโครงการ และศึกษาเพิ่มเติมการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบในลักษณะบูรณาการ

          
 ปี 2555 มีมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 10 เมษายน 2555 เห็นชอบในหลักการให้ดำเนินโครงการก่อสร้างเขื่อนแม่วงก์ จังหวัดนครสวรรค์ ใช้งบประมาณทั้งสิ้น 13,280 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 8 ปี โดยผูกพันงบประมาณถึงปีงบประมาณ 2562

          โดยโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ ได้เกิดขึ้นมาท่ามกลางเสียงสนับสนุนและคัดค้านมากมาย ซึ่งทางเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ถือเป็นกลุ่มที่ยืนหยัดคัดค้านโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด ด้วยเหตุผลสำคัญ 2 ด้าน คือ ด้านระบบนิเวศ กับด้านเศรษฐกิจและสังคม

เขื่อนแม่วงก์

          ด้านนิเวศ คือ ระบบนิเวศทั้งหมดจะถูกคุกคาม เกิดการทำลายป่าต้นน้ำ และอาจเกิดการลักลอบตัดไม้ริมอ่างเก็บน้ำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก เร่งให้สัตว์ป่า เช่น นกยูง เสือโคร่ง ต้องสูญพันธุ์ และยังสามารถลักลอบล่าสัตว์ป่าได้ง่าย นอกจากนี้ ยังจะทำให้สัตว์ป่าสูญเสียที่อยู่อาศัย ทำลายโอกาสการฟื้นฟูของอุทยาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อป่ามรดกโลก "ห้วยขาแข้ง" เนื่องจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์นั้น มีความสำคัญในฐานะเป็นป่าหน้าด่านของป่าห้วยขาแข้ง เป็นพื้นที่ความหวังของการแพร่กระจายสัตว์ป่า และเป็นที่ที่พบเสือโคร่งจากห้วยขาแข้งออกมาหากิน

          ด้านเศรษฐกิจและสังคม คือ เนื่องจากเขื่อนแม่วงก์มีขนาดเล็ก จึงไม่คุ้มค่ากับการลงทุน อีกทั้งยังไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำแล้ง-น้ำท่วมได้ นอกจากนี้ยังทำลายแหล่งศึกษาธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และทำลายความเชื่อมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของไทยด้วย อีกทั้งยังเป็นช่องทางให้โครงการพัฒนาขนาดใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่อนุรักษ์อื่น ๆ ได้อีกในอนาคต

          ในแง่ของเสียงสนับสนุน มีความต้องการให้สร้างเขื่อนแม่วงก์ เนื่องจากรัฐบาลอ้างว่า เขื่อนจะสามารถป้องกันน้ำท่วมในลุ่มน้ำแม่วง เขต อ.แม่วงก์ และ อ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ แต่ นายอดิศักดิ์ จันทวิชานุวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือตอนล่าง กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมชลประทานปีที่แล้วระบุว่า น้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์ 44,000 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ตัวเขื่อนแม่วงก์สามารถเก็บน้ำได้เพียงประมาณ 250 ล้านลูกบาศก์เมตร เท่ากับเป็นการแก้ปัญหาเพียง 1% เท่านั้น ดังนั้น เขื่อนนี้จึงไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาน้ำท่วมภาคกลาง และไม่เกิดความคุ้มค่าแก่การลงทุนหากสร้างเพื่อป้องกันน้ำท่วม
 
          อีกทั้งการสร้างเขื่อนที่บริเวณเขาสบกก เป็นการกั้นลำน้ำแม่วงเพียงสายเดียว แต่ยังมีลำน้ำอีกหลายสายที่ไหลมาบรรจบตรงที่ลุ่มอำเภอลาดยาว ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของน้ำท่วมในตัวเมือง และจากการสอบถามชาวบ้านลาดยาวหลายคน ระบุว่า เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก น้ำก็จะท่วมเพียง 2-5 วัน เท่านั้น หลังจากนั้นน้ำก็จะลดตามธรรมชาติ เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไร เว้นแต่ปีที่แล้วที่ท่วมเป็นเวลานานที่น่าจะเกิดจากการจัดการน้ำไม่ดี ไม่ปล่อยให้ไหลตามธรรมชาตินั่นเอง

          ด้านการแก้ภัยแล้งในพื้นที่เกษตรกรรม คือการชูเขื่อนแม่วงก์ให้เป็นที่เก็บน้ำเพื่อที่เกษตรกรในพื้นที่ อ.ลาดยาว และ อ.สว่างอารมณ์ จะได้มีน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง แต่ข้อมูลจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมภาคเหนือและมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ระบุว่า บริเวณดังกล่าวมีพื้นที่กว่า 291,900 ไร่ ความต้องการใช้น้ำเฉลี่ย 347.9 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี ส่วนใหญ่ทำนาข้าว ซึ่งต้องใช้น้ำเฉลี่ย 500 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ ดังนั้น เมื่อคำนวณแล้วน้ำทั้งหมดจากเขื่อนจะสามารถใช้ได้เพียงแค่ 40 วัน ซึ่งไม่เพียงพอกับการทำนาข้าวซึ่งต้องใช้น้ำประมาณ 120 วัน อีกทั้งตามหลักของการบริหารจัดการเขื่อน ต้องรักษาระดับเก็บกักน้ำไว้อย่างน้อย 100-150 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อความแข็งแรงของโครงสร้างฐานเขื่อนอีกด้วย

          นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่จะสร้างเขื่อนแม่วงก์นั้น ยังมีเขื่อนอีกหลายแห่ง เช่น เขื่อนทับเสลา เขื่อนคลองโพธิ์ ซึ่งก่อสร้างเสร็จมาประมาณ 10 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ช่วยเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งเลย เพราะพื้นที่อยู่ในเขตเงาฝน ปริมาณน้ำฝนน้อย และการก่อสร้างเขื่อนไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้ฐานเขื่อนรองรับน้ำปริมาณมากไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าการสร้างเขื่อนไม่ใช่คำตอบของพื้นที่นี้

          สำหรับความสำคัญของป่าแม่วงก์นั้น ป่าแม่วงก์บริเวณที่จะถูกน้ำท่วมเป็นป่าริมน้ำและป่าที่ราบต่ำ ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 200 เมตร เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดใหญ่ เช่น ช้าง เสือ และเป็นแหล่งอาหารสำคัญของสัตว์ป่าด้วย แม้ว่าการสูญเสียป่าแม่วงก์ไป 18 ตารางกิโลเมตร คิดเป็นเพียงร้อยละ 2 ของป่าทั้งหมด แต่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของป่าทั้งระบบมากเพราะมันคือ "หัวใจ" เนื่องจากป่าแม่วงก์เป็นส่วนสำคัญของผืนป่าตะวันตก ที่เกิดจากป่าอนุรักษ์ 17 ผืนต่อกันเป็นป่าผืนใหญ่ขนาด 11.7 ล้านไร่ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นบ้านของสัตว์ป่านานาชนิด เช่น เสือโคร่ง ช้าง กระทิง วัวแดง สมเสร็จ ควายป่า ฯลฯ

          อนึ่ง ป่าแม่วงก์ประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแม่วงก์มา 25 ปีแล้ว และเป็นพื้นที่แห่งโอกาสของสัตว์ป่า เนื่องจากเป็นป่าที่สมบูรณ์ จึงเป็นบ้านและแหล่งอาหารของสัตว์ป่าที่หากินนอกเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบที่ไม่สามารถป้องกันในช่วงเวลาก่อสร้างเขื่อนตลอด 8 ปี ได้แก่ การตัดไม้เกินพื้นที่ที่กำหนด การลักลอบล่าสัตว์ป่า เสียงที่ดังรบกวนสัตว์ป่า การยึดพื้นที่ริมอ่างและการเก็บหาของป่า ฯลฯ

          นอกจากนี้ ยังมีปัญหาจากการสร้างเขื่อนแม่วงก์อีกมาก เช่น จะต้องมีการเวนคืนที่ดิน เพื่อทำคลองยาว 500 กิโลเมตร และคลองระบายน้ำ ซึ่งต้องเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านกว่าพันราย รวมที่ดิน 10,892 ไร่ อีกทั้งยังต้องเวนคืนที่ดินอื่น ๆ เพิ่มอีกในการสร้างเขื่อน คือ ที่ดิน 850 ไร่ ที่บ้านคลองไทร ต.แม่เล่ย์ อ.แม่วงก์ เพื่อใช้เป็นบ่อยืมดิน ที่ดิน 55 ไร่ ที่บ้านท่าตาอยู่ ต.ปางมะค่า เพื่อใช้ปรับปรุงฝายท่าตาอยู่ และที่ดิน 173 ไร่ ติดเขาสบกก เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่หัวงานอีกด้วย

          โดยหลังจากการสร้างเขื่อน ยังอาจเกิดปัญหาขึ้นอีก คือ ชาวบ้านอาจต้องสูบน้ำเข้าที่นาเอง เนื่องจากเขื่อนมีขนาดเล็ก น้ำอาจไม่มากพอส่งมาท้ายเขื่อนของพื้นที่ชลประทาน และปัญหาความเหลื่อมล้ำของผู้มีอำนาจที่อาจได้รับประโยชน์การใช้น้ำชลประทานก่อน เพราะรัฐยังไม่ระบุว่าพื้นที่ระบบชลประทานหน้าแล้งตรงไหนที่ได้รับประโยชน์บ้าง ในขณะที่ชาวบ้านสามารถจัดการปัญหาเรื่องน้ำด้วยตนเองได้ ตามโมเดลที่เคยมีคนทำแล้วได้ผล เช่น

           ชาวนาที่ศาลเจ้าไก่ต่อ ทำนาโดยใช้ระบบสูบน้ำและส่งน้ำบาดาล โดยการขุดคลองรอบคันนาเพื่อส่งน้ำไปใช้ ด้านหนึ่งของคันนาจะขุดเป็นบ่อพักน้ำหมุนเวียนในนาซึ่งเลี้ยงปลาไว้เป็นรายได้เสริมด้วย

           ทางออกเรื่องน้ำระดับชุมชนของ "บ้านธารมะยม" ที่มีเขาแม่กระทู้เป็นต้นน้ำ และใช้ต้นน้ำนี้ทำประปาภูเขา ส่วนตามลำห้วยก็สร้างฝายกั้นน้ำ สร้างอ่างเก็บน้ำ เพื่อไปใช้ในที่นา รวมถึงขุดบ่อน้ำไว้เลี้ยงปลา เมื่อน้ำอุดมสมบูรณ์ ชุมชนก็ทำเกษตรได้ มีรายได้เลี้ยงครอบครัว และเงินค่าน้ำประปาภูเขาก็กลายมาเป็นกองทุนและสวัสดิการต่าง ๆ ของชุมชน 

           การแก้ปัญหาเรื่องน้ำในระดับตำบลโดยภาครัฐที่ ต.หนองหลวง อ.สว่างอารมณ์ จ.อุทัยธานี ที่สนับสนุนการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กในตำบล เช่น สร้างฝาย อ่างเก็บน้ำ โครงการสูบน้ำ ซึ่งก็เพียงพอต่อการอุปโภค-บริโภคของคนในตำบล 

           ทางออกการจัดการน้ำที่ยั่งยืนอย่าง "ปิดทองหลังพระ model" ของโครงการปิดทองหลังพระ จ.น่าน ที่สร้างถังเก็บน้ำไว้ในหมู่บ้าน สร้างฝายต้นน้ำ ฝายชะลอน้ำ และสร้างอ่างพวงเพื่อส่งน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร รวมถึงปลูกพืชที่เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย

          หากไม่มีเขื่อนแม่วงก์ เครือข่ายองค์กรอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ชาวบ้านในพื้นที่ชลประทานก็ยังสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้และอยู่ดี เนื่องจาก

           1. มีป่าเขาชนกันที่มีสายน้ำไหลตลอดปีกว่า 10 สาย ซึ่งสามารถจัดการได้ตามแบบบ้านธารมะยม และ ต.หนองหลวง

          
 2. มีน้ำใต้ดินที่ลึกเพียง 3 เมตร หรือลึกกว่า ที่สามารถพัฒนาเป็นสระน้ำในไร่นาได้แบบที่ "ศาลเจ้าไก่ต่อ"

          
 3. หลายพื้นที่อาจพัฒนาระบบอ่างเก็บน้ำหลักและอ่างพวงตามแบบ "ปิดทองหลังพระโมเดล"

          
 4. ลำน้ำนอกเขตอุทยานก็สามารถพัฒนาเป็นแหล่งเก็บน้ำได้อีกมาก โดยปรับปรุงฝายเดิมหรือสร้างใหม่ให้เหมาะสม

          
 5. ให้งบประมาณแก่คนทั้ง 23 ตำบล ตำบลละ 200 ล้านบาท รวมเป็น 4,600 ล้านบาท แล้วหาทางพัฒนาแหล่งน้ำโดยชาวบ้าน แล้วให้ข้าราชการเป็นที่ปรึกษา ดีกว่าสร้างเขื่อนทับป่าสมบูรณ์ พร้อมคลองชลประทานดาดคอนกรีต 500 กิโลเมตร ด้วยงบ 13,000 ล้านบาท

          
 6. ให้แม่วงก์เป็นต้นแบบโครงการที่ราษฎรและข้าราชการร่วมกันแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำโดยไม่ทำลายป่าเพื่อสร้างเขื่อน

          
 7. ขยายพื้นที่มรดกโลกทุ่งใหญ่-ห้วยขาแข้ง โดยรวมอุทยานแห่งชาติแม่วงก์ อุทยานแห่งชาติคลองลาน และทั้งผืนป่าตะวันตกเข้าด้วยกัน

          และนี่ก็คือที่มาที่ไปของโครงการสร้างเขื่อนแม่วงก์ และเหตุผลที่ว่า ทำไมหลายคนถึงออกมาร่วมรณรงค์คัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์นั่นเอง






ขอขอบคุณข้อมูลจาก
thaipublica.org
greenworld.or.th

วันเสาร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2556

โทษของไขมัน+สูตรลดไขมันหน้าท้อง


โทษของไขมันเกาะส่วนต่างๆในร่างกาย+สูตรลดหน้าท้อง

สาวๆที่สะสมไขมันไว้ในร่างกาย สะสมไว้ไม่ดีนะคะ นิวเลยมาแชร์ข้อมูลโทษของไขมันที่เกาะในร่างกายส่งผลอะไรกันมั่ง

โทษที่เกิดจากการที่ไขมันที่เกาะในผนังลำไส้ กระเพาะอาหาร หากสะสมมาจะทำให้เกิดข้อบกพร่องและเป็นผลทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ เช่น

1. ถุงน้ำดี ทำให้นอนไม่หลับ อารมณ์ฉุนเฉียว นิ่วในไต สายตาเสื่อม ปวดเมื่อยตามร่างกาย

2. เลือดเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้มึนศีรษะ

3. ไตเสื่อม ทำให้ความจำลดลงและเป็นคนขี้หนาว

4. ม้ามชื้น ทำให้อาหารที่กินเข้าไปแปรสภาพเป็นไขมันเป็นผลทำให้อ้วนง่าย

5. ม้ามโต ทำให้เหนื่อยง่ายเพราะม้ามไปเบียดปอด

6. ถ้าไขมันเกาะลำไส้เล็กมากๆ จะทำให้ลำไส้เล็กไม่สามารถดูดซึมวิตามินซีได้ เป็นผลทำให้เป็นหวัดในตอนเช้าหรือหวัดเรื้อรัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เกิดโรคภูมิแพ้ ทำให้จามในตอนเช้า

(ภาพไขมันในลำใส้ที่ดูดซึมไม่หมดค้างอยู่ในลำใส้)

7. ถ้าไขมันในตับสูง การสร้างเม็ดเลือดจะลำบาก ฉะนั้นการดื่มตามสูตรนี้ นอกจากช่วยลดหน้าท้อง ยังส่งผลให้อาการป่วยทั้ง 7 ประการนี้หายไป ด้วย

มาแชร์สูตรล้างลำใส้่กะทุ้งไขมันเกาะไว้กะเทาะกะแทะออกไปและยังช่วย ลดไขมันหน้าท้องได้อี๊กฉะน้าน เรามาป้องกันการเกิดไขมันเกาะในผนังลำไส้และก่อโรคอ้วน

หน้าท้องเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่จะบ่งบอกถึงว่า ตอนนี้สภาพร่างกายคุณเป็นอย่างไร นั้นก็หมายถึงอาหารที่คุณกินเข้าไปมันเข้ามันสะสมจนทำให้คุณมีไขมันหน้าท้อง มาก และจะทำให้คุณกลายเป็นคนอ้วนไปในที่สุด และหน้าท้องเมื่อมีไขมันสะสมแล้วก็ลดยากเสียด้วยพอ ๆ กับไขมันที่สะโพกนั่นแหละ เราจึงมีวิธีทำสูตรนี้มาแนะให้ทำกัน

สูตรลดหน้าท้องนี้จะช่วยปรับสมดุลร่างกายและควบคุมน้ำหนัก ผู้ที่รักสุขภาพ และผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคปวดข้อ เป็นตะคริวอยู่บ่อยๆ หรือโรคอ้วน สามารถนำวิธีนี้ไปใช้ดื่มเป็นประจำ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยบรรเทาโรคต่างๆ ได้

สูตรโล๊ะไขมันเกาะ (สูตรเด็ดจาก เวปพันทิพ ห้องสวนลุม และโต๊ะเครื่องแป้ง มาแชร์กัน)

ส่วนผสม

นมสดรสจืด 1 กล่อง

โยเกิร์ตรสจืด ครึ่งถ้วย

น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำผึ้ง จะพบว่าในน้ำผึ้งมีสารเอนติออกซิเดนท์ เช่นเดียวกับที่มีในผักใบเขียวและยังมีวิตามินบี ซี ฟอสฟอรัส แคลเซียม เกลือแร่ และกรดอะมิโน ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ แร่ธาตุที่กล่าวมาล้วนมีความจำเป็นต่อร่างกายที่จะเข้าไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ บำรุงโลหิต

มะนาว 1 ลูก

นำส่วนผสมทั้งหมดผสมให้เข้ากันชิมรสตามใจชอบ และต้องดื่มตอนเช้า มื้อเดียวก่อนอาหาร มื้ออื่นไม่เห็นผล มะนาวก็ควรบีบแล้วกินทันที เพื่อรักษาคุณสมบัติวิตามินซีไว้ และควรดื่มน้ำตาม 1-2 แก้ว จะเห็นผลดียิ่งขึ้น

สรรพคุณ ไม่ใช่ยาลดน้ำหนักโดยตรง แต่จะปรับธาตุ ล้างพิษในลำไส้ ล้างไขมัน กินวันแรกๆ จะ เห็นเลยว่าอุจจาระจะเป็นสีดำ และไล่ลมในกระเพาะดีมาก ระยะ ต่อมา เมื่อลำไส้และกระเพาะอาหารในร่างกายปรับตัวได้กับอาหารที่กินแล้วจะเข้าสู่ ภาวะปกติ แต่ต่อมาจะมีความรู้สึกว่าหน้าท้องยุบลงเนื่องจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ต ทำให้ลำใส้ทำงานได้ดีไม่ทำให้ลำใส้บวมหน้าท้องป่องควรกินทุกเช้าติดต่อกัน ทุกวัน

ที่มาธรรมชาติบำบัด อ.สุทธิวัสน์

http://www.siamfitness.com/forum_posts.asp?TID=189

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

เห็นแก่ตัว

"อย่าเข้าใจว่าลมหายใจจะยืดยาวเหมือนสายไฟฟ้า แต่ความสั้นยาวของมัน เพียงขนาดที่สูบเข้า สูบออกแค่ปอดมาจมูกนี้เท่านั้น
อย่าพากันหลงว่าเป็นของยืดยาวเลย" "อย่าไปสนใจคิดถึงกาลสถานที่ หรือบุคคลใด ๆ ว่าเป็นภัยและเป็นคุณ
ให้เสียเวลาและล่าช้าไปเปล่า โดยไม่เกิดประโยชน์อะไร ยิ่งกว่าการคิดเรื่องกิเลสกับธรรม ซึ่งมีอยู่ที่ใจ"
"การดูกิเลสและแสวงธรรม ท่านทั้งหลายอย่ามองข้ามใจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของกิเลส และเป็นที่สถิตอยู่แห่งธรรมทั้งหลาย
กิเลสก็ดี ธรรมก็ดี ไม่ได้อยู่กับกาลถานที่ใด ๆทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ใจ คือเกิดขึ้นที่ใจ เจริญขึ้นที่ใจ และดับลงที่ใจดวงรู้ ๆนี้เท่านั้น"
"ให้เราคิดถึงครูบาอาจารย์ว่าเป็นผู้มีคุณค่าอยู่บนหัวใจ หรืออยู่บนกระหม่อมจอมขวัญของเราเสมอ อย่าได้ลืม อย่าได้ลบหลู่ดูหมิ่น
เราจะเป็นผู้เจริญในอนาคต"
ผู้สนใจศึกษาปฏิบัติธรรม คือผู้สนใจหาความรู้ความฉลาด เพื่อคุณงามความดีทั้งหลายที่โลกเขา ปรารถนากันเพราะคนเราจะอยู่และไปโดยไม่มีเครื่องป้องกันตัวย่อมไม่ปลอดภัยต่ออันตรายทั้งภายนอกภายใน
เครื่องป้องกันตัวคือหลักธรรม มีสติปัญญาเป็นอาวุธสำคัญจะเป็นเครื่องมั่งคงไม่สะทก สะท้าน มีสติปัญญาแฝงอยู่กับตัวทุกอิริยาบถจะคิด-พูด-ทำ อะไรไม่มีการยกเว้น มีสติปัญญาสอดแทรกอยู่ด้วยทั้งภายในและภายนอก
มีความเข้มแข็งอดทน มีความเพียรที่จะประกอบคุณงามความดีคนอ่อนแอโง่เง่าเต่าตุ่นวุ่นวายอยู่กับอารมณ์เครื่องผูกพันด้วยความนอนใจและเกียจคร้านในกิจการที่จะตัวให้พ้นภัย
การตำหนิติเตียนผู้อื่นถึงเขาจะผิดจริงก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเองให้ขุ่นมัวไปด้วย
ความเดือดร้อนวุ่นวายใจที่คิดตำหนิผู้อื่นจนไม่เป็นสุขนั้นนักปราชญ์ถือเป็นความผิดแลบาปกรรม ไม่มีดีเลยจะเป็นโทษให้ท่านได้สิ่งไม่พึงปรารถนามาทรมานอย่างไม่คาดฝัน
การกล่าวโทษผู้อื่นโดยขาดการไตร่ตรองเป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์จึงควรสังเวชต่อความผิดของตน งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสียความทุกข์เป็นของน่าเกลียด น่ากลัว แต่สาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ทำไมพอใจสร้างขึ้นเอง
ผู้เห็นคุณค่าของตัวจึงเห็นคุณค่าของผู้อื่นว่ามีความรู้สึกเช่นเดียวกัน ไม่เบียดเบียนทำลายกันผู้มีศีลสัตย์เมื่อทำลายขันธ์ ไปในสุคติในโลกสวรรค์ ไม่ตกต่ำเพราะอำนาจศีลคุ้มครองรักษาและสนับสนุนจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะพากันรักษาให้บริบูรณ์ ธรรมก็สั่งสอนแล้ว ควรจดจำให้ดีปฏิบัติให้มั่นคงจะเป็นผู้ทรงคุณสมบัติทุกอย่างแน่นอน
เมื่อเกิดมาอาภัพชาติแล้วอย่าให้ใจอาภัพอีก ผู้เกิดมาชาตินี้อาภัพแล้ว อย่าให้ใจอาภัพคิดแต่ผลิตโทษทำบาปอกุศลเผาผลาญตน ให้ได้ทุกข์เป็นบาปกรรมอีกเลย
คนชั่วทำชั่วได้ง่ายและติดใจไม่ยอมลดละและแก้ไขให้ดี คนดีทำดีได้ง่ายและติดใจกลายเป็นคนรักธรรมตลอดไป เราต้องการของดี คนดีก็จำต้องฝึก ฝึกจนดี จะพ้นการฝึกไปไม่ได้ งานอะไรก็ต้องฝึกทั้งนั้น ฝึกงาน ฝึกคนฝึกสัตว์ ฝึกตน ฝึกใจ นอกจากตายแล้วจึงหมดการฝึก คำว่า ดีจะเป็นสมบัติของผู้ฝึกดีแล้วแน่นอน ศีลนั้นอยู่ที่ไหนมีตัวตนอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้เจตนาเป็นตัวศีล เจตนาคือจิตใจ คนเราถ้าจิตใจไม่มีก็ไม่เรียกว่าคนมีแต่กายจะทำอะไรได้
ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกันเมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ มีโทษต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษจะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงทางหลงขอ คนที่หาคนที่ขอต้องเป็นทุกข์ขอเท่าไหร่ยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยากยากเข็ญ
กายกับจิตเราได้มาแล้วมีอยู่แล้ว ได้มาจากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาลได้ผลไม่มีกาล ผู้มีศีลย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญผู้มีศีลย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่ยาก ไม่จนก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียวเป็นศีล เป็นสมาธิเป็นปัญญา ผู้มีศีลแท้เป็นผู้หมดเวรหมดภัย
คุณธรรมยังผู้เข้าถึงให้เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องเลื่องระบือ มีความฉลาดกว้างขวางในอุบายวิธีไม่มีความคับแค้นจนมุม
การปฏิบัติธรรมเป็นการทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตรัสสอนเรื่อง กาย วาจา จิตมิได้สอนเรื่องอื่น ทรงสอนให้ปฏิบัติฝึกหัดจิตใจ ให้เอาจิตพิจารณากาย เรียกว่ากายานุปัสสนาสติปัฏฐานหัดสติให้มากในการค้นคว้า เรียกว่าธัมมวิจยะพิจารณาให้พอทีเดียว เมื่อพิจารณาพอจนเป็นสติสัมโพชฌงค์จึตจึงจะเป็นสมาธิรวมลงเอง
การประกอบความพากเพียรทำจิตให้ยิ่งเป็นการปฏิบัติตามคำสอนของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอนความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืนชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู
ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น
วาสนานั้นเป็นไปตามอัธยาศัย คนที่มีวาสนาในทางที่ดีมาแล้ว แต่คบคนพาลวาสนาก็อาจเป็นเหมือนคนพาลได้ บางคนวาสนายังอ่อน เมื่อคบบัณฑิตวาสนาก็เลื่อนขั้นขึ้นเป็นบัณฑิต ฉะนั้นบุคคลควรพยายามคบแต่บัณฑิตเพื่อเลื่อนภูมิวาสนาของตนให้สูงขึ้น
ผู้มีปัญญาไม่ควรให้สิ่งที่ล่วงแล้วตามมา ไม่ควรหวังในสิ่งที่ยังมาไม่ถึงผู้มีปัญญาได้เห็นในธรรมซึ่งเป็นปัจจุบัน ควรเจริญความเห็นนั้นไว้เนือง ๆควรรีบทำเสีย ผู้มีปัญญา ซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่มีความเพียรแยกกิเลสให้หมดไป จะไม่เกียจคร้านขยันหมั่นเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ต้นหาย กำไรสูญเปรียบเสมือนคนเราบางคนที่ตั้งอกตั้งใจทำงาน จะประกอบการค้าขาย หรือทำกิจการงานอะไรก็ดี
ตั้งแต่เยาว์วัยจนกระทั่งเป็นหนุ่มเป็นสาวและแก่เฒ่าแก่ชราในที่สุด และถึงพร้อมด้วยความร่ำรวยสมบูรณ์พูนสุข
สร้างบ้านสร้างเรือน สร้างหลักฐานได้อย่างมั่นคง ตลอดจนสร้างเกียรติยศ สร้างชื่อเสียง จนได้ลาภ ทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่คนบางคนที่กล่าวถึงเหล่านี้ เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควร ซึ่งที่จริงก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับทรัพย์สมบัติในทางโลก ที่ได้สร้างสมมามากแล้ว ก็ควรจะหยุด เพื่อรีบสร้างสมสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ในบั้นปลายของชีวิต ให้มากที่สุดเท่าที่จะกระทำได้บ้าง แต่เขาเหล่านั้นก็หาได้มีความหยุด ความยั้ง ความละ ความปล่อย ความวาง ในทรัพย์สมบัติที่หามาได้เหล่านั้นไม่ มุ่งหน้าที่จะคิดอ่านประกอบกิจการงาน ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่คำนึงถึงว่า สักวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว ความตายก็จะต้องมาถึงเข้าอย่างแน่นอน ในที่สุดร่างกายของเขาก็ถึงซึ่งความแตกดับจริงๆ และย่อยยับสูญหายไป ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนหามาได้ ไว้ในโลกนี้ให้กับคนอื่นทั้งหมด ไม่สามารถที่จะนำเอาทรัพย์สมบัติเหล่านั้นติดตามตนไปได้แม้แต่นิดเดียว โดยที่ตนเองมิได้ประกอบคุณงามความดี


ในทางสร้างสมในสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ให้มากเท่าที่ควรเลย ซึ่งตนเองก็มีโอกาสและโชคดีอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็มิได้กระทำลงไป จึงเป็นสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตของเขา เปรียบเสมือน ต้นหายกำไรสูญ ต้นก็คือ ร่างกายและทรัพย์สมบัติที่หามาได้ทั้งหมด กำไรก็คือ บุญกุศลหรือสิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ แทนที่จะได้ก็ไม่ได้ และถ้าใช้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นไปในทางที่ไม่ดีผิดศีลธรรมอีกด้วยแล้ว หรือ ยึดในทรัพย์สมบัติที่หามาได้นั้นมากเกินไป ก็ยิ่งจะขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต้นก็หาย กำไรก็สูญ ชีวิตนี้ก็ขาดทุน ของดีมีอยู่กับตัวเราทุกคน 
- ธรรมคำสอนหลวงมั่น ภูริทัตโต
"ของดีมีอยู่กับตัวเราทุกคน ก็พากันปฏิบัติเอา ทำเอา เมื่อเวลาตายแล้วจึงวุ่นวายหานิมนต์พระมากุสลามาติกา ไม่ใช่เกาถูกที่คัน ต้องรีบแก้เสียบัดนี้ คือเร่งทำความดีแต่บัดนี้ จะได้หายห่วง อะไร ๆ ที่เป็นสมบัติของโลก มิใช้สมบัติอันแท้จริงของเรา ตัวจริงไม่มีใครเหลียวแล สมบัติในโลกเราแสวงหามา หากทุจริตก็เป็นไฟเผา เผาตัวทำให้ฉิบหายได้จริง ๆ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความฉลาดและความโง่เขลาของผู้แสวงหาแต่ละราย ท่านผู้พ้นทุกข์ไปด้วยความอุตส่าห์สร้างความดีใส่ตนจนกลายเป็นสรณะของพวกเรา ท่านไม่เคยมีสมบัติเงินทองเครื่องหวงแหน เป็นคนร่ำรวยสวยงามเฉพาะสมัย จึงพากันรักพากันห่วงจนไม่รู้จักเป็น รู้จักตาย สำคัญตนว่าจะไม่ตายและพากันประมาทจนลืมตัว เพลิดเพลินตักตวงเอาแต่สิ่งไม่เป็นท่าใส่ตนแทบหาบไม่ไหว อย่าสำคัญว่าตนเอง เก่งกาจสามารถฉลาดรู้กว่าเขาเลย ถึงกับสร้างความมืดมิดปิดตาทับถมตัวเอง จนไม่มีวันสร่างซา เมื่อถึงเวลาจนตรอกอาจจนยิ่งกว่าสัตว์ ยังไม่เตรียมทราบไว้เสียแต่บัดนี้ ซึ่งอยู่ในฐานะอันควร อาตมาขออภัยด้วย ถ้าพูดหยาบคายไป แต่คำพูดที่สั่งสอนคนให้ละชั่ว ทำความดี จัดเป็นหยาบคายอยู่แล้ว โลกเราก็จะถึงคราวหมดสิ้นศาสนา เพราะไม่มีผู้ยอมรับความจริง การทำบาปหยาบคายมีมาประจำแทบทุกคน ทั้งให้ผลเป็นทุกข์ ตนยังไม่อาจรู้ได้ และตำหนิมันบ้าง พอมีทางคิดแก้ไข แต่กลับตำหนิคำสั่งสอนหยาบคาย ก็นับเป็นโรคที่หมดหวัง เมื่อมีผู้เตือนสติ ควรยึดมาเป็นธรรมคำสอน จะเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุผล ไม่ทำตามความอยาก เมื่อพยายามฝ่าฝืนให้เป็นไปตามทางของนักปราชญ์ได้จะประสบผลคือความสุขในปัจจุบันทันตา แม้จะมิได้เป็นเจ้าของเงินล้าน แต่มีทางได้รับความสุขจากสมบัติและความประพฤติดีของตน คนฉลาดปกครองตนให้มีความสุขและปลอดภัย ไม่จำต้องเที่ยวแสวงหาทรัพย์มากมาย หรือเที่ยวกอบโกยเงินเป็นล้าน ๆ มาเป็นเครื่องบำรุงจึงมีความสุข ผู้มีสมบัติพอประมาณในทางที่ชอบ มีความสุขมากกว่าผู้ได้มาในทางมิชอบเสียอีก เพราะนั่นไม่ใช่สมบัติของตนอย่างแท้จริง ทั้ง ๆ ที่อยู่ในกรรมสิทธิ์ แต่กฎความจริง คือ กรรมสาปแช่งไม่เห็นด้วยและให้ผลเป็นทุกข์ไม่สิ้นสุด นักปราชญ์ท่านจึงกลัวกันหนักหนา แต่คนโง่อย่างพวกเราผู้ชอบสุกเอาเผากิน และชอบเห็นแก่ตัว ไม่มีวันอิ่มพอ ไม่ประสบผล คือความสุขดังใจหมาย คนหิวอยู่เป็นปกติสุขไม่ได้ จึงวิ่งหาโน่นหานี่ เจออะไรก็คว้าติดมือมาโดยไม่สำนึกว่าผิดหรือถูก ครั้นแล้วสิ่งที่คว้ามาก็มาเผาตัวเองให้ร้อนยิ่งกว่าไฟ คนที่หลงจึงต้องแสวงหาถ้าไม่หลงก็ไม่ต้องหา จะหาไปให้ลำบากทำไม อะไร ๆ ก็มีอยู่กับตัวเองอย่างสมบูรณ์อยู่แล้ว จะตื่นเงาตะครุบเงาไปทำไม เพราะรู้แล้วว่า เงาไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริงคือสัจจะทั้งสี่ที่มีอยู่ภายในใจอย่างสมบูรณ์แล้ว
ความมั่งมีศรีสุขจะไม่บังเกิดแก่ผู้ทุจริต สร้างกรรมชั่วมีมากเท่าไรย่อมหมดไปพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายที่สร้างบาปกรรมไว้ผลกรรมนั้นย่อมตกอยู่กับลูกหลานรุ่นหลังให้มีอันเป็นไป ผู้ทุจริตเบียดเบียน รังแกผู้อื่น จะหาความสุขความเจริญไม่ได้เลย"
บางส่วนคัดมาจากธรรมะครูบาอาจารย์ : หลวงปู่มั้น ภูริทัตโต

วันพุธที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2556

การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด



เดอะมิร์เรอร์/ซีบีเอส/สกายนิวส์ - สื่อต่างประเทศหลายสำนักฮือฮากับโฆษณาชิ้นใหม่ความยาว 3 นาทีของ “ทรูมูฟ เอช” ระบุมีเนื้อหากินใจจนน้ำตาซึม ทำให้มียอดเช้าชมบนโลกออนไลน์แล้วหลายล้านคลิก


สำนักข่าวต่างประเทศ ทั้งเดอะมิร์เรอร์ของอังกฤษ ซีบีเอส และนิวยอร์กไทมส์แห่งสหรัฐฯ และสกายนิวส์ออสเตรเลีย รายงานเมื่อวันอังคาร (17) ว่าภาพยนตร์โฆษณาของไทยชุดนี้กำลังเป็นที่ฮือฮาอย่างยิ่งบนโลกออนไลน์ จนมีผู้ชมคลิกเข้ามาดูแล้วกว่า 5 ล้านครั้ง โดยสกายนิวส์ออสเตรเลีย บอกว่าคลิปนี้ยังมีคนกดไลค์มากกว่า 40,000 ไลค์ และผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจากทั่วโลกต่างพากันโพสต์ความคิดเห็นแสดงความรู้สึกตื้นตันใจต่อเนื้อหาของโฆษณาชิ้นนี้




เดอะมิร์เรอร์ รายงานว่าภาพยนตร์โฆษณาชิ้นนี้เริ่มด้วยเด็กชายคนหนึ่งถูกเจ้าของร้านยาจับได้ว่าแอบขโมยยา โดยหนูน้อยสารภาพว่าต้องการเอายาไปรักษาแม่ ระหว่างนั้นเฒ่าแก่ร้านขายก๋วยเตี๋ยวก็เข้ามาแทรก และยอมจ่ายค่ายาแทน นอกจากนี้ยังมอบเกาเหลาให้ไปด้วย

รายงานของเดอะมิร์เรอร์ ระบุต่อว่าจากนั้นก็เป็นเรื่องราวในอีก 30 ปีต่อมา ด้วยเจ้าของร้านขายก๋วยเตี๋ยวยังค้าขาย โดยมีลูกสาวคอยช่วยอยู่เหมือนเดิม และยังคงมีการแบ่งปันให้แก่คนที่ยากไร้อยู่เช่นเคย อย่างไรก็ตามทันใดนั้นเขาก็ล้มฟุบลง และขณะที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่ในโรงพยาบาล ลูกสาวก็ได้เห็นบิลค่ารักษาพยาบาลหลายแสนบาท จนเธอต้องประกาศขายบ้าน ทว่าที่สุดแล้วก็มีบุคคลลึกลับออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด




ยามเช้าวันหนึ่งที่เธอตื่นขึ้นมาข้างๆ เตียงคนไข้ เธอก็พบกับจดหมายซองหนึ่ง ซึ่งภายในมีใบสรุปรายการค่ารักษาพยาบาล ซึ่งค่าผ่าตัด ค่าห้อง และค่ายา ที่ไม่มียอดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น โดยในท้ายจดหมายได้ระบุไว้ว่า แพทย์เจ้าของไข้ ได้รับค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วเมื่อ 30 ปีก่อน เป็นยาแก้ปวด 3 แผง, ยาธาตุ 1 ขวด และเกาเหลา 1 ถุง ซึ่งก็คือสิ่งที่เถ้าแก่เคยมอบให้แก่นายแพทย์คนนี้ในอดีตนั่นเอง ก่อนที่โฆษณาจะปิดท้ายว่า “การให้คือการสื่อสารที่ดีที่สุด”

มิร์เรอร์ระบุว่า ผู้คนจากทั่วโลกพากันมาโพสต์แสดงความคิดเห็นต่อคลิปนี้ หนึ่งในนั้นบอกว่า “ฉันร้องไห้แล้วร้องไห้อีก มันกินใจมาก” ส่วนอีกคนให้คำจำกัดความโฆษณานี้ว่า “สวยงามและมอบแรงบันดาลใจ”

ด้านสำนักข่าวซีบีเอส รายงานว่าทางบริษัทแห่งนี้ก็บอกเช่นกันว่าพวกเขาเชื่อในพลังแห่งการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ขณะที่นิวยอร์กไทม์ อ้างความคิดเห็นของผู้ชมรายหนึ่งใช้ชื่อ ทริสตัน แบลร์ ได้โพสต์ข้อความว่า “สวยงามที่สุด อาจเป็นหนึ่งในโฆษณาที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย”






วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ดนตรีอยู่ในหัวใจ


"ดนตรีอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่ในสายเลือด" เพราะดนตรีคือชีวิตพี่เจมส์เชื่อว่า การเล่นดนตรีเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถฝึกฝนไ­ด้แต่มีเคล็ดลับคือ "ต้องมีใจรักด้วย" (นายณัฐภัทร เรืองบุญ ชั้นม.3 โรงเรียนนอกกะลา)

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก พบมากในผู้หญิงไทยเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม แต่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งในผู้หญิงไทยมากเป็นอันดับ 1 ในแต่ละปีมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 5,200 คน หรือเฉลี่ยวันละ 14 คน ทั้ง ๆ ที่มะเร็งปากมดลูกนั้นเป็นมะเร็งที่ป้องกันได้

รศ.นพ.วิชัย เติมรุ่งเรืองเลิศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูตินารีเวชและโรคมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ประจำโรงพยาบาลจุฬา เล่าว่า สาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี ( HPV ) จากการมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงกว่าร้อยละ 50-80 เคยติดเชื้อนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แต่ร้อยละ 90 ของการติดเชื้อนั้น ร่างกายสามารถกำจัดเองได้ด้วยระบบภูมิคุ้มกัน มีเพียงร้อยละ 10 ที่จะกลายเป็นการติดเชื้อแบบฝังแน่น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์บริเวณปากมดลูกไปเป็นมะเร็งในที่สุด โดยระยะเวลาตั้งแต่เริ่มติดเชื้อเอชพีวีจนกระทั่งเป็นมะเร็งนั้น กินเวลานาน 5-10 ปี ในระยะนี้จะไม่พบความผิดปกติใด ๆ จนกว่าเซลล์กลายเป็นมะเร็งลุกลาม ซึ่งความผิดปกติก่อนเป็นมะเร็งสามารถตรวจพบได้ด้วยการตรวจคัดกรอง ดังนั้น หากตรวจพบก่อนจะรักษาได้ง่าย หายขาด ค่าใช้จ่ายน้อย

แนวทางใหม่ในการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก คือ การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี ที่เป็นตัวก่อการ โดยอาศัยหลักการว่า “ถ้าไม่มีเชื้อไวรัสเอชพีวี จะไม่เป็นมะเร็งปากมดลูก” (no HPV, no cervical cancer) เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพและมีความไวสูง ถ้าตรวจไม่พบเชื้อเอชพีวีจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูกน้อยมาก และสามารถเว้นระยะห่างของการตรวจได้นาน 3-5 ปี นอกจากนั้น ถ้ามีความผิดปกติในระยะก่อนมะเร็ง การตรวจมักจะให้ผลบวก เพราะการตรวจมีความไวในการตรวจหารอยโรคก่อนเป็นมะเร็งสูงถึงร้อยละ 95-100

สำหรับวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งนั้น มีอยู่หลายวิธี เช่น แป๊บสเมียร์ (Pap smear) แม้จะเป็นที่ยอมรับและมีประสิทธิภาพ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าตรวจ ด้วยเหตุผล 3 ประการหลัก ได้แก่ เขินอาย, เจ็บ, และไม่มีเวลา

อ.พญ.ชินา โอฬารรัตนพันธุ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาสูตินารีเวชและโรคมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์สตรี ประจำโรงพยาบาลจุฬา เผยว่า ล่าสุดมีนวัตกรรมใหม่ในการตรวจคัดกรองมะเร็งเบื้องต้นซึ่งสามารถตรวจได้ด้วยตนเอง เรียกว่า แปรงอีวาลิน มีลักษณะขนแปรงนุ่มเหมือนกับแปรงที่แพทย์ใช้ทั่วไป ซึ่งในประเทศเนเธอร์แลนด์มีการใช้อย่างกว้างขวางและเป็นที่ยอมรับถึงร้อยละ 90

ส่วนแนวทางป้องกันมะเร็งปากมดลูก รศ.นพ.วิชัย แนะ 3 วิธีปฏิบัติ คือ ลดพฤติกรรมเสี่ยง, พบแพทย์ตรวจคัดกรองมะเร็ง และฉีดวัคซีนป้องกัน

http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/article/36298

วันอังคารที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2556

เรือนของใจ



บางขณะที่เกิดความเหงาและความอ่อนล้าทั้งใจและกาย

เราอาจจะพบว่าสาเหตุว่าลึก ๆ แล้วชีวิตต้องการและเรียกร้องคำตอบว่า


“เราใช้ชีวิตอย่างมีค่าพอหรือยัง ?”

“เราได้เข้าใกล้จุดมุ่งหมายในชีวิตนี้แล้วหรือยัง?”

เราอาจเป็นคนไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของผู้อื่นนัก

แต่เราไม่สามารถปฏิเสธความรู้สึกในใจของเราได้เลย

สิ่งที่เราทำหรือแสวงหาทั้งหมดในชีวิต

ก็อาจเป็นเพราะว่าเราต้องการความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ มากลบเกลื่อนความรู้สึกอ้างว้างนี้

รวมทั้งเสียงหัวเราะหรือการกระทำที่กลบเกลื่อนว่ามีความสุขต่อหน้าคนรอบข้าง

ก็ไม่สามารถลบเลือนความรู้สึกในใจได้

.......................

.......................

บางคนอาจคิดง่าย ๆ ว่า...

ถ้าฉันคิดว่าฉันพอใจ และมีความสุขในสิ่งที่ฉันทำ

ใครจะทุกข์ก็ช่าง ใครจะเดือดร้อนก็ช่าง ฉันไม่สนใจ

หรือฉันทำอย่างนี้ไม่เดือดร้อนใคร

ฉันพอใจฉันก็จะทำ แล้วจะทำไม

ฉันจะเป็นก้อนหินและหนามแหลม

ที่แข็งแกร่งและพร้อมจะทิ่มแทงทุกคน

ไม่มีใครทำให้ฉันอ่อนแอและทุกข์ใจได้อีกต่อไป


อาจฟังดูแล้ว "ถูกต้อง" แต่ที่จริงแล้ว "ผิดพลาดอย่างยิ่ง"

สิ่งที่เราทำต่อตนเองหรือคนอื่นก็ตาม

ถึงไม่มีใครรู้ถึงไม่มีใครเห็น

แต่เรารับรู้และจดจำรายละเอียดได้เสมอ


จิตใต้สำนึกของความเป็นมนุษย์ของเรา

ไม่ยอมให้เราปฏิเสธการกระทำของเรา

เขาพร้อมจะเป็นพยานและผู้พิพากษาที่เที่ยงตรง

การตัดสินที่ยุติธรรมที่สุดนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว

ตั้งแต่วันที่เราได้คิดและลงมือกระทำ

โดยการจดบันทึกความคิดและการกระทำทุก ๆ อย่างเป็นผลกรรม

ที่จะติดตามตัวเราโดยไม่ต้องผ่านความคิดที่ถูกหรือผิดแต่อย่างไร


ความดีจึงไม่ใช่เป็นแค่สิ่งที่ควรทำ

แต่ความดีคือ "เรือนที่ใจของเราได้ใช้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง"

เพราะเรารับรู้ได้ถึงความสุขที่เกิดขึ้นเมื่อได้อยู่ในเรือนใจนี้

ทุกครั้งที่หลับตานึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราได้ทำให้แก่ตนเองและผู้อื่น

และทุกข์ใจอย่างไม่มีลืมเลือนเมื่อนึกถึงสิ่งไม่ดีที่เคยกระทำ


คนยากจนใช้ชีวิตอย่างลำบากยากไร้ ไม่มีทรัพย์สินนอกกาย

แต่จิตใจรู้จักพอเพียงในชีวิต หากินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

ในใจกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขจากผลบุญและการทำความดี


เศรษฐีมีเงินนับร้อยพันล้านจิตใจละโมบโลภมาก

ถึงจะมีที่ดินเงินทองข้าทาสบริวารมากล้น

ก็หาความสุขใจไม่ได้ "เมื่อนึกถึงการกระทำคดโกง"ต่าง ๆ นานา

ที่ต้องแลกมากับทรัพย์สินมากมายขนาดนี้

ความดีจึงเป็นเสมือนพาหนะและเสบียงที่พร้อมจะติดตัวระหว่างเดินทาง

เพื่อไปสู่เป้าหมายสูงสุด แม้ในชาตินี้และชาติหน้า


คนดีได้สร้างสวรรค์งามพร้อมขึ้นแล้วในใจ

คนเลวก็ได้สร้างนรกให้ผุดขึ้นแล้วในใจ

จิตที่คุ้นเคยกับเรือนที่อยู่แบบนี้

ก็รอเพียงวันเวลาที่จะย้ายจิตไปอยู่ที่นั้นเมื่อหมดอายุขัย


บุญกุศลและผลกรรมที่เราสร้างไว้ดีแล้วนี่เอง

คือหลักประกันที่ดีที่สุดให้ชีวิตในปัจจุบัน

และสร้างความมั่นคงในจิตใจให้คลายเหงาได้อย่างแท้จริง

หาใช่ทรัพย์สินและความสุขภายนอกแต่อย่างไรไม่


ขอบคุณที่มา :: http://www.dhammathai.org/dhammastory/view.php?No=361 :