วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

สัจธรรม


สิ่งที่รู้จักยากที่สุด

สิ่งรู้จัก ยากที่สุด กว่าสิ่งใด
ไม่มีสิ่ง ไหนไหน ได้ยากเท่า
สิ่งนั้นคือ ตัวเอง หรือตัวเรา
ที่คนเขลา หลงว่ากู รู้จักดี

ที่พระดื้อ เณรดื้อ และเด็กดื้อ
ไม่มีรื้อ มีสร่าง อย่างหมุนจี๋
เพราะความรู้ เรื่องตัวกู มันไม่มี
หรือมีอย่าง ไม่มี ที่ถูกตรง

อันตัวกู ของกู ที่รู้สึก
เป็นตัวลวง เหลือลึก ให้คนหลง
ส่วนตัวธรรม เป็นตัวจริง ที่ยิ่งยง
หมดความหลง รู้ตัวธรรม ล้ำเลิศตนฯ


มีโดยไม่ต้องเป็นของกู
ถ้าจะอยู่ ในโลกนี้ อย่างมีสุข 

อย่าประยุกต์ สิ่งทั้งผอง เป็นของฉัน
มันจะสุม เผากระบาล ท่านทั้งวัน
ต้องปล่อยมัน เป็นของมัน อย่าผันมา


เป็นของกู ในอำนาจ แห่งตัวกู
มันจะดู วุ่นวาย คล้ายคนบ้า
อย่างน้อยก็ เป็นนกเขา เข้าตำรา
มันครึ กว่า “กู-ของ-กู” อยู่ร่ำไป

จะหามา มีไว้ ใช้หรือกิน
ตามระบิล อย่างอิ่มหนำ ก็ทำได้
โดยไม่ต้อง มั่นหมาย ให้อะไรๆ
ผูกยึดไว้ ว่า”ตัวกู” หรือ “ของกู” ฯ 




ขอบคุณที่มาบทความ : http://www.buddhadasa.com/rightstudydham/triluk.html 
ภาพ : doctor.or.th

ฟังผู้รู้ถามผู้มีอำนาจ



ความจริง ความงาม ความดี
มนุษย์อุบัติมาพร้อมกับความอยากรู้ จักรวาลและความจริงแท้คือความท้าทาย จึงแสวงหาคำตอบโดยพัฒนาวิธีวิทยารูป แบบต่างๆ ที่เชื่อว่าเข้าถึงความจริง หนึ่งวิธีที่เรียกว่า “ฟังผู้รู้ถามผู้มีอำนาจ” (by authority) เป็นวิธีวิทยาที่มีมาพร้อมสังคมมนุษย์ ลองทัศนาทัศนะ “ผู้รู้ผู้มีอำนาจ” ดังต่อไปนี้
๑. ศาสนา
ฟริตจอฟ คาปรา พยายามเชื่อมโยงความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์ระดับจักรวาลที่เขามีกับศาสนาว่า “ทฤษฎีควอนตัมและทฤษฎีสัมพันธภาพได้ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า และยิ่งคล้ายคลึงมากยิ่งขึ้นเมื่อรวมเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กมากๆ จนไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ นั่นคืออธิบายคุณสมบัติของปฏิกิริยาของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม ซึ่งอนุภาคเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบ ของสะสารทุกชนิดบนโลกนี้ เราพบว่า อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา และไม่มีตัวตนที่แท้ ซึ่งคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ทำให้แสนกว่าคนต้องตายด้วยความรู้ของเขา มีความเห็นว่า “การกลัวความตายคือความกลัวที่ไม่มีเหตุผลมากที่สุดในบรรดาความกลัวทั้งปวง... เส้นทางสู่ความเป็นศาสนาที่แท้จริงไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานการกลัวชีวิต กลัวความตาย หรือศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ด้วยความพากเพียรตามความรู้ที่มีเหตุผล ในอีกมุมหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่า ความรู้จากศาสนาแห่งจักรวาลเป็นแรงจูงใจที่แข็งแกร่งและสง่างามที่สุดในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์”

แต่ฉือจี้ สอนว่า “ศาสนามีความหมายง่ายๆว่า เป้าหมายของชีวิต ทางเดินที่ยาวไกล ต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายที่ถูกต้อง เดินตามทางที่ถูกต้อง ก็จะถูกต้อง”

๒. ความรัก
นักเขียนนวนิยายไม่ว่าชาติใด มักบอกว่า “ความรักทำให้คนตาบอด ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ไม่ว่าที่ใดจะยากลำบาก ถ้ามีความรัก ก็จะเกิดความอบอุ่น”
๓. ความโลภ

บิลล์ เกตต์ มนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุดที่โลกเคยมี กล่าวว่า “ความสำเร็จเป็นครูที่แย่ เพราะทำให้คนฉลาดคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันแพ้”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ตัวเองยอมลำบาก เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้อื่น”
๔. ความโกรธ
จอร์จ ดับเบิลยู. บรูช ประกาศหลังเหตุการณ์ ๙๑๑ ว่า “ประเทศที่ไม่ร่วมมือกับเราจัดการกับผู้ก่อการร้าย ถือเป็นศรัตรูกับอเมริกา”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ไม่มีใครในโลกนี้ที่เราไม่รัก ไม่มีใครที่เราไม่ไว้ใจ ไม่มีใครที่เราไม่ให้อภัย... การให้อภัยคนอื่น คือการดีต่อตัวเอง”
๕. ความหลง
อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง (ที่มีเค้าหน้าออกเหลี่ยมๆ) เคยประกาศว่า “จะไม่มีคนจนในประเทศนี้ภายใน ๕ ปี ปัญหารถติดจะหมดไปภายใน ๖ เดือน และ... ฯลฯ... “
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ทำตัวให้กลม ทำหัวใจให้เหลี่ยม หมายถึง ทำตัวให้กลมกลืน รื่นไหล ปะทะกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่นจะได้ไม่บาดเจ็บติดขัด กระทบกระเทือน และมีหลักการยึดเหนี่ยวใจไม่ให้ล่องลอยไป”
๖. ปัญญา
หลวงพ่อชา สอนว่า “เวลามองปัญหา อย่ามองแบบไฟฉาย ให้มองอย่างเทียน”
ฉือจี้ ก็สอนเช่นเดียวกันว่า “จิตวิญญาณแห่งเทียนคือ ยอมเผาผลาญตนเองเพื่อแสงสว่างและให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่น การจุดเทียนให้สว่าง ต้องจุดที่ไส้เทียน เปรียบเสมือนจิตใจ ฉะนั้นจะสว่างได้ ต้องจุดที่ใจ”
๗. ความหวัง
กฎของนิวตัน “กฎของนิวตันก่อให้เกิด คลื่นลูกที่สอง มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในโลก วิศวกรนำกฎของนิวตันไปสร้างเครื่องจักรกลมากมาย มีการสร้างเรือไอน้ำลำใหญ่ สะพานขึงทั่วยุโรป ระบบขนส่งทางรถไฟ โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่หลังจากนิวตันเสียชีวิตไปสองร้อยปีสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็อุบัติขึ้น”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “การทำแปลงผักสวยๆ แต่ไม่ได้เอาเมล็ดพันธ์เพาะลงไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความหวัง ไม่มีเป้าหมายในชีวิต การปลูกผัก ก็คือการปลูกความหวัง เพียงมีเมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่ง ก็แตกหน่อออกไปได้มหาศาล”
๘. ความงาม

โจโฉ เมื่อตีเมืองอ้วนเซียได้แล้ว สั่งตั้งโต๊ะฉลอง เมื่อเมาได้ที่จึงถามออกไปว่า “เมืองนี้มีหญิงงามบ้างไหม”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ความงามในโลกมี ๕ อย่าง
๑.ฟ้างาม ดวงดาวงามที่สุด
๒.สังคมงาม ความห่วงใยงามที่สุด
๓.สิ่งแวดล้อมงาม สีเขียวงามที่สุด
๔.ใบหน้างาม รอยยิ้มงามที่สุด
๕.จิตใจงาม รู้บุญคุณงามที่สุด”

๙. การเดินทาง

ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทำการศึกษาพัฒนาการในระยะยาวของเด็ก พบว่า “เด็กที่สามารถยับยั้งใจไม่กินขนม Marshmallow ได้นั้นมีผลการเรียนที่ดีกว่า สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดีกว่า และจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าเด็กที่ไม่สามารถห้ามใจตนเองไม่ให้กินขนมก้อนแรกจากการทดลองได้ด้วยเวลาสั้นๆ หลังจากผู้ใหญ่ออกจากห้องไป หลังจากนั้นหลายสิบปี กลุ่มเด็กที่สามารถห้ามใจตนเองกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้อย่างมากมาย”

แต่ฉือจี้ สอนว่า “คนทุกคนเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ละวันก็คือหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า ความรักก็คือปากกา กิจกรรมที่ทำก็คือตัวหนังสือ ขอให้แต่ละคนบันทึกกิจกรรมด้วยความรัก”

๑๐. ความเท่าเทียม
นโปเลียน ประกาศอุดมการณ์ประชาธิปไตยหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ภายใต้คำขวัญว่า
“เสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค”
แต่ ฉือจี้ สอนว่า “คนเราเป็นพระพุทธทุกคน มีปัญญาเท่าเทียมพระพุทธ เพียงแต่เรียกว่าเป็นพระพุทธที่ถูกพันธนาการไว้...ทุกคนเป็นโพธิสัตว์ อยู่ในตัวเอง โพธิสัตว์มีลมหายใจ ทำความดี ๑ ชั่วโมง ก็เป็นโพธิสัตว์ ๑ ชั่วโมง ทำความดี ๑ วัน ก็เป็นโพธิสัตว์ ๑ วัน ทำความดีตลอดไป ก็เป็นโพธิสัตว์ตลอดไป”

๑๒. การบริหาร
ดร.เอดเวิร์ด เดมมิ่ง กล่าวว่า “การทำงานทุกระบบย่อยในองค์กรต้องมี PDCA คือ Plan DO Check Apply”
อธิการบดีในของประเทศหนึ่งถ่ายทอดนโยบายกับคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยว่า “ประสิทธิผลของคณะและโบนัสของอาจารย์แต่ละปีจะวัดจาก KPI ที่เซ็นไว้ในแผนปฏิบัติราชการกับอธิการบดีและ กพร.รวมทั้งผลงานตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor”
แต่ฉือจี้ สอน (ให้เตือนตัวเอง) ว่า “วันไหนไม่ทำงาน วันนั้นไม่กินข้าว ...วางเป้าใหญ่ แต่ทำทีละขั้น เพื่อไม่ให้คนท้อ เอาความสำเร็จแต่ละขั้นมาสร้างกำลังใจคนทำงาน”
๑๓. นักบริหาร

กาเซี่ยง เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่ชาญฉลาดในยุคสามก๊ก กล่าวว่า “ถึงเวลาที่จะบินไปหาต้นไม้ใหม่เสียที เพราะต้นไม้เก่าอย่างโจโฉ อายุมากแล้ว”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “การมีธรรมะ ต้องยืนตรงเหมือนต้นสน คือมีจิตใจมั่นคงอย่ามี ๓ เอียงคือ (๑) อย่าเอียงไปที่เงิน (๒) อย่าเอียงไปที่ชื่อเสียง และ (๓) อย่าเอียงไปที่อำนาจ”

๑๔. อำนาจ
เซอร์ ฟรานซีส เบคอน กล่าวว่า “ความรู้ คือ อำนาจ การรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้ทำให้ชีวิตมีพลังอำนาจ”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ความรักที่ยิ่งใหญ่ คื รักมนุษย์ทุกผู้ จิตใจที่รักผู้อื่น”
๑๕. จังหวะ
เหมา เจ๋อ ตุง สอนกลยุทธ์การรบแบบกองโจรว่า “เขาบุก เราถอย เขาถอย เราแหย่ เขาอ่อนแอ เราเข้าตี”
แต่ ฉือจี้ สอน (ให้คนเต้นรำกับชีวิต) ว่า “เขาใหญ่ เราเล็ก เขาบุก เราถอย เขาพูด เราฟัง เขาถูก เราผิด ทำตัวเองให้เล็กลง”

๑๖. วิชาศึกษาทั่วไป
นักศึกษาแพทย์ของไทย “ต้องเรียนวิชาศึกษาทั่วไปให้ได้ ๓๐ หน่วยกิต เพื่อให้มีคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ตามเกณฑ์ของ สกอ.”
นักศึกษามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของฉือจี้ต้องเรียนวิชาคนใน ๓ ห้อง
“ห้องพู่กันจีน : สอนบุคลิกภาพ
ห้องชงชา : สอนให้คนหันหน้าเข้าหากัน ให้เกียรติกัน
ห้องจัดดอกไม้ : ทำตัวเองให้เป็นดอกไม้ คนจัดดอกไม้ ดอกไม้จัดคน”

๑๗. โรงพยาบาล
ป้ายโฆษณาเชิญชวนทำศัลยกรรมความงามของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งบอกว่า “สวยด้วยแพทย์”
แต่ ผอ.โรงพยาบาลฉือจี้บอกกับแขกที่มาเยี่ยมว่า “สิ่งที่แพงที่สุดในโรงพยาบาล ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นจิตใจที่อดทน และสิ่งที่สวยงามที่สุดคือ รอยยิ้มของผู้ป่วย”

๑๘. การสอน
เหลาจื้อ สอนว่า “การสอนโดยไม่ใช้ถ้อยคำ คือ การสอนโดยหลักการเปิดโอกาสให้แต่ไม่แทรกแซง”
ฉือจี้ สอนว่า “ไม่มีเด็กที่เรียนไม่เป็น มีแต่ครูที่สอนไม่เป็น”

๑๙. Coffee or Tea ?
ฝรั่งอวดรู้ผู้หนึ่งเคยบอกว่า “ชาวตะวันตกชอบดื่มกาแฟ สะท้อนตัวตนความเป็นเสรีชน รักเสรีภาพ และเคารพในความแตกต่าง”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ชาที่ชงต่างเวลากัน รสชาติต่างกัน เวลาต่างกัน ความยุติธรรมก็ต่างกัน...จิตวิญญาณแห่งการดื่มชา คือ คิดดี พูดดี ทำดี”

๒๐. การแข่งขัน
นักการตลาด บอกทีมขายว่า “ถ้าคุณหยุด เท่ากับถอยหลัง ถ้าคุณเดิน เท่ากับให้คุณอื่นแซง ถ้าคุณวิ่งเท่ากับคุณเข้าแข่งขัน”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “สวนผักต้องปลูกผักให้มาก หญ้าจึงจะไม่ขึ้น เหมือนทำความดีมากๆ ก็จะไม่มีเวลา ที่ทาง ให้ความไม่ดีเกิดขึ้น”

ขอบคุณที่มา : https://www.facebook.com

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

จดหมายถึง "โอบามา"

"วณิณา" ส่งจดหมายถึง "โอบามา" ชี้แจงเหตุม็อบไทยต่อต้านทักษิณ พร้อมอัด "เทิร์นเนอร์" ได้ชี้นำอย่างผิดๆ และแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจต่อวิกฤตทางการเมืองของไทย

วันนี้ ( 22 ม.ค.57 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า โลกออนไลน์ได้มีการแชร์จดหมายที่ "วณิณา สุจริตกุล" เขียนตอบโต้ นายไมเคิล อาร์ เทิร์นเนอร์ สมาชิกสภาคองเกรส สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งได้ร้องขอให้นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แสดงท่าทีเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศไทย โดยให้แสดงจุดยืนคัดค้านกลุ่มต่อต้านรัฐบาล และสนับสนุนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ในประเทศไทยอย่างเปิดเผย โดย ""วณิณา" ได้เขียนชี้แจงเหตุผลที่กลุ่มผู้ชุมนุมในประเทศไทยลุกขึ้นต่อต้านรัฐบาลไว้อย่างละเอียด

โดยข้อความทั้งหมดมีดังนี้


17 มกราคม 2014

ท่านประธานธิบดีที่นับถือ

ข้าพเจ้าเขียนมาเพื่อโต้แย้งจดหมายของ ไมเคิล เทิร์นเนอร์ สมาชิกสภาคองเกรส ซึ่งเขียนถึงท่านเมื่อวานนี้ ซึ่งเรียกร้องให้ท่านแสดงการคัดค้านอย่างเปิดเผยต่อการเคลื่อนไหวคัดค้านรัฐบาล และสนับสนุนการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2014 ด้วยความเคารพอย่างยิ่งที่ต้องบอกว่า จดหมายของเทิร์นเนอร์ สมาชิกสภาคองเกรส ได้ชี้นำอย่างผิดๆ และแสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจต่อวิกฤตทางการเมืองของไทย

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นนักกฏหมายที่เรียนจบจากสหรัฐฯ และก็เป็นพลเมืองทั้งของสหรัฐฯและประเทศไทย ข้าพเจ้าเป็นผู้รักระบอบประชาธิปไตย และในความเป็นจริง ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมเป็นอาสาสมัครในกลุ่มช่วยเหลือผู้ออกเสียงเลือกตั้ง ทำหน้าที่แจ้งข่าวสารต่อชาวอเมริกัน ในการลงทะเบียนเพื่อออกเสียงเลือกตั้ง แจ้งหลักฐานที่จำเป็นต่อการไปใช้สิทธิ์ออกเสียง ตลอดจนการรวบรวมหลักฐานการใช้สิทธิ์เพื่อให้แน่ใจว่าคะแนนเสียงของพวกเขาจะถูกรวบรวมอย่างถูกต้อง

ผู้ออกมาประท้วงต่อต้านรัฐบาลไทยก็เป็นฝ่ายนิยมระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน การเคลื่อนไหวมิใช่เพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย หากแต่เพื่อขจัดอำนาจการปกครองที่กดขี่และเป็นเผด็จการให้พ้นไปจากประวัติศาสตร์ไทย ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาก็ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า มีจอมเผด็จการมากมายก็มาจากการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย ซัดดัมฮุนเซนก็ได้รับคะแนนเสียงเลือกตั้งมา 100% ฮูโก้ชาเวซ ซึ่งท่านเรียกกันอย่างเปิดเผยว่าเป็นเผด็จการอัตตาธิปไตยนั้น ก็ได้รับเลือกตั้งมาจากเสียงส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน

รัฐบาลเผด็จอำนาจของทักษิณ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งโดยเปลือกนอก ก็ได้พิสูจน์ว่าเป็นรัฐบาลที่โกงกินที่สุดและละเมิดสิทธิ์มนุษยชนอย่างร้ายแรงที่สุด คนจะเข้าใจวิกฤตทางการเมืองในขณะนี้ได้ ต้องไปเข้าใจจากรากเหง้าการผูกขาดด้านโทรคมนาคม ขอยกบางเรื่องที่ทักษิณครอบงำกำกับอยู่เป็นตัวอย่าง

- ในเดือนกุมภาพันธ์ 2003 ซึ่งทักษิณทำสงครามปราบยาเสพติด เพียงช่วงเวลา 3 เดือน มีผู้ถูกฆ่าตายถึง 2800 คนโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม ผลการสำรวจอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2007 สรุปว่า มากกว่าครึ่งของผู้ที่ถูกฆ่าตายไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเลย เรื่องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติได้แสดงความห่วงใยอย่างมากนั้น ผู้กระทำผิดก็ยังมิได้ถูกดำเนินการใดๆทางกฏหมาย

- เมื่อปี 2004 กองกำลังรักษาความมั่นคงของทักษิณได้ทำให้ผู้ประท้วงคัดค้านภาคใต้ต้องตายไป 85 คน จากการถูกยิงตาย และถูกจับมัดกองทับกันจนขาดอากาศหายใจตาย หรือที่เรียกกันว่ากรณีตากใบ องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนได้ประณามความป่าเถื่อนโหดร้ายนี้ และเรียกร้องให้มีการการไต่สวนถึงอาชญากรรมครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ อีกเช่นกัน

- ตัวเลขขององค์กรนิรโทษกรรมสากล มีนักปกป้องสิทธิมนุษชนถึง 18 คน ถูกลอบฆ่าตายและถูกอุ้มหายตัวไป

- ด้วยการเซ็นเซอร์และข่มขู่คุกคามหนังสือพิมพ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนจึงมิได้ถูกเปิดเผย เสียงคัดค้านใดๆ ล้วนถูกทำให้เงียบไป

- เพื่อที่จะพยายามหลบเลี่ยงกฎหมายควบคุมการขัดกันทางผลประโยชน์ ทักษิณได้โอนหลักทรัพย์หลายพันล้านบาทของตนไปไว้ในชื่อของคนรับใช้และคนขับรถของตนโดยเจ้าตัวมิได้รับรูัอย่างผิดกฎหมาย

- ทักษิณฝ่าฝืนกฎหมายที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐทำธุรกิจกับรัฐ ด้วยการช่วยให้ภรรยาของตนซื้อที่ดินของรัฐในราคาถูกเพียง 1 ใน 3 ของราคาจริง ซึ่งทักษิณถูกตัดสินให้ลงโทษจำคุกเป็นเวลา 2 ปี แต่เขาก็หลบหนีออกนอกประเทศและไม่เคยยอมรับผิด

ทักษิณได้อนุมัติเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของรัฐบาลไทยจำนวน 127 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ให้แก่รัฐบาลทหารพม่า เพื่อใช้ซื้อบริการรับสัญญาณดาวเทียมจากธุรกิจโทรคมนาคมของตน

- ช่วงที่ทักษิณปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีนั้น เขาได้ขายหุ้นชินคอร์ป ซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคม ให้กับเทมาเส็กโฮลดิ้ง โดยหลบเลี่ยงการเสียภาษีมูลค่า 16.3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

- ด้วยสารพัดวิธีการของทักษิณในการเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจโทรคมนาคมของเขา ทำให้ศาลสูงสุดมีคำตัดสินอย่างเป็นเอกฉันท์ในความผิดคอร์รับชั่นทางนโยบาย 4 กระทง และมีคำสั่งให้ยึดทรัพย์จำนวน 1.4 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จากทรัพย์สินที่ถูกอายัดไว้จำนวน 2.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ


นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างที่ทักษิณใช้วิธีการต่างๆนานาชำเราและฉ้อโกงจากประเทศนี้ แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการเนรเทศตัวเองอยู่ในต่างประเทศ ทักษิณก็ยังคงชักใยประเทศไทย และดำเนินนโยบายคอร์รับชั่นผ่านทางน้องสาวของตน ในเรื่องความพยายามประนีประนอมจอมปลอม ระบอบทักษิณได้ผ่าน พรบ.นิรโทษกรรมในคืนวันศุกร์ตอนตี 4.25 ที่ให้ยกโทษแก่ทุกฝ่ายที่มีส่วนร่วมการประท้วงทางการเมือง รัฐสภาภายใต้การควบคุมของทักษิณได้ผ่าน พรบ.วาระสุดท้าย(วาระ3) ยกโทษให้กับนักการเมืองทุกคนที่ถูกกล่าวหาและตัดสินว่ามีความผิดเรื่องการคอร์รับชั่นตั้งแต่การรัฐประหาร ซึ่ง พรบ.ที่ถูกแก้ไขนี้ ยังมีผลให้ต้องคืนทรัพย์สินที่ถูกสั่งยึดไปด้วย กล่าวให้ชัดเจนก็คือ การผ่านกฎหมายฉบับนี้ก็เพื่อปูทางให้ทักษิณได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ และต้องคืนทรัพย์สมบัติให้แก่เขา

ด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่จะเข้าควบคุมทั้งรัฐสภาและวุฒิสภา รัฐบาลปัจจุบันของทักษิณพยายามที่จะแก้ไขโครงสร้างของวุฒิสภา และปิดกั้นการทำหน้าที่ของสมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับคัดเลือกมาจากทุกสาขาอาชีพ การล้มระบบนี้ออกไปจะทำให้พรรคการเมืองของทักษิณสามารถควบคุมการออกกฎหมายโดยไม่ต้องถูกตรวจสอบและถ่วงดุล พรบ.นิรโทษกรรมและกฎหมายอื่นๆก็จะทำให้การคอร์รับชั่นของทักษิณผ่านได้โดยสะดวกง่ายดาย และถึงแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะสั่งให้หยุดยั้งการปรับเปลี่ยนโครงสร้างวุฒิสภาแล้วก็ตาม แต่รัฐบาลของทักษิณก็แสดงการปฏิเสธไม่ยอมขึ้นต่อคำตัดสินของศาลอย่างเปิดเผย

นโยบายคอร์รับชั่นอย่างเป็นระบบและการใช้อำนาจมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์ของทักษิณอย่างเห็นได้ชัดเช่นนี้ ได้ผลักดันให้ประชาชนไทยต้องลุกยืนขึ้นและเรียกร้องว่าพอกันที ผู้ประท้วงคัดค้านต้องการประชาธิปไตย แต่ต้องขจัดอำนาจเผด็จการของทักษิณออกไปก่อน

เป็นเวลากว่าทศวรรษมาแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นที่ชัดเจนภายใต้ระบอบทักษิณก็คือ ระบบประชาธิปไตยในปัจจุบันของเราล้มเหลว เพราะมันได้ปล่อยให้ระบอบเผด็จการอัตตาธิปไตยสามารถฉกฉวยใช้อำนาจและกอบโกยโกงกินทรัพย์สินของชาติ เมื่อใดที่ระบบการใช้สิทธิ์เลือกตั้งปล่อยให้เกิดการฉ้อฉลและปล่อยให้นักการเมืองคอร์รับชั่นอยู่เหนือกฎหมาย เมื่อนั้น ประชาชนจึงต้องตั้งคำถามและลุกขึ้นคัดค้านระบบที่เสียหายเช่นนี้ ประชาชนจึงกำลังเรียกร้องต้องการการปฏิรูป เพื่อให้มีระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และที่สำคัญที่สุดคือ มีการถ่วงดุลในการใช้อำนาจ
เราต้องการประชาธิปไตย และด้วยวิธีอารยะขัดขืนนี้แหละ จะนำมาซึ่งประชาธิปไตยของเรา
ขอแสดงความนับถือ

วณิณา สุจริตกุล
cc: สมาชิกสภาคองเกรส ไมเคิล อาร์ เทิร์นเนอร์

ขอบคุณที่มา : http://www.tnews.co.th

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

เคล็ดลับในการนำเสนองานด้วย PowerPoint​

10 เคล็ดลับในการนำเสนองานด้วย PowerPoint​

 
author_Article2Mar.jpg
 
 
เจฟฟ์ วูโอริโอ คือนักเขียนและนักประพันธ์อิสระผู้มีประสบการณ์สูงแห่งมลรัฐเมนตอนใต้  งานเขียนของเขามักจะเกี่ยวกับการจัดการธุรกิจขนาดย่อม การตลาดและเรื่องเกี่ยวกับเทคโนโลยี 
 
ความคิดเห็นสองแง่ของเคอรร์เกี่ยวกับโปรแกรมที่ใช้นำเสนองานและที่เกี่ยวกับกราฟฟิกยอดนิยมของ Microsoft ใน Office Small Business สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวงการธุรกิจและการเรียนรู้  แม้จะมีหลายคนชื่นชอบ PowerPointเนื่องจากเห็นว่าเป็นเครื่องมือทางธุรกิจที่มีศักยภาพ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่โต้แย้งว่าPowerPoint คืออุปสรรคของการปฏิสัมพันธ์ที่ดี กล่าวคือ PowerPoint ทำให้การสื่อสารสับสน บิดเบือนและเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก
แต่ทว่าเคอรร์ได้ชี้แจงไว้ว่า การถกเถียงกันเรื่องความสามารถและข้อผิดพลาดของPowerPoint นั้นถือเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการใช้โปรแกรมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด  และเราขอนำเสนอวิธีการใช้ PowerPoint ทั้ง 12 วิธี ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดูเป็นมืออาชีพ 
 
* เชอร์รี เคอรร์ทราบดีว่าการใช้ PowerPoint ในการประชุมธุรกิจนั้นเร้าใจและน่าเชื่อถือมากเพียงใดนอกจากนี้ เธอยังทราบดีว่าหากมีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น อาจจะทำให้สิ่งตรงกันข้ามเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน 
1. ยึดมั่นในตนเองเป็นหลัก แต่มีการใช้อุปกรณ์ช่วยเสริม
 
ความสะดวกง่ายดายในการใช้งาน PowerPoint นั้นอาจเป็นข้อเสียอย่างหนึ่งได้เหมือนกัน แม้ว่า PowerPoint นั้นจะใช้งานได้สะดวกไม่ซับซ้อนและยังสามารถดึงดูดสายตาได้ด้วยสไลด์และกราฟฟิกต่างๆก็ตาม แต่ขอให้จำไว้ว่ามันไม่สามารถพึ่งตัวมันเองเพียงอย่างเดียวได้   ผู้ฟังนั้นเข้ามาเพื่อจะฟังคุณไม่ได้เข้ามาเพื่อเอาแต่จ้องมองภาพต่างๆที่ปรากฏอยู่บนจอ   ดังนั้นนอกจากการทำโปรแกรม PowerPoint ของคุณให้โดนใจแล้ว ก็ให้แน่ใจด้วยว่าสิ่งที่คุณนำเสนอนั้นก็ไม่ได้ด้อยหรือมีความน่าสนใจน้อยไปกว่ากัน    แมทท์ ธอร์นฮิลล์ ผู้อำนวยการสถาบัน Audience First  มิดโลเธียน รัฐเวอร์จิเนีย ซึ่งเป็นธุรกิจให้บริการฝึกอบรมด้านการนำเสนองานได้กล่าวไว้ว่า “PowerPoint ไม่ได้เป็นผู้นำเสนอ แต่ PowerPoint ช่วยสร้างสรรค์ภาพสไลด์ต่างๆ  และจงจำไว้ว่าคุณเองเป็นผู้สร้างสไลด์เพื่อสนับสนุนสิ่งที่ตัวคุณเองเป็นผู้นำเสนอ
 
ซานตา อานา ที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ในแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า “PowerPointอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดที่คุณมี แต่คุณต้องใช้มันให้ถูกต้องนะ”
 
 Youthstudy_Article2Mar.jpg

2. ทำให้ดูง่ายเข้าไว้
 
พวกเราเกือบทุกคนต่างเคยได้เห็น PowerPoint และการนำเสนองานต่างๆ ที่ผู้พูดดูราวกับพร้อมจะขอแต่งงานกับเจ้าของโปรแกรมยังไงยังงั้น กล่าวคือ เห็นได้ชัดว่าผู้พูดตกหลุมรักลายเส้น สเปเชียลเอฟเฟค  และรายละเอียดเล็กน้อยทุกอย่างของโปรแกรมนี้  แต่การนำเสนองานโดยใช้ PowerPoint ที่ได้ผลนั้นต้องเรียบง่าย แผนภาพต้องเข้าใจได้ง่าย และกราฟฟิกต้องสอดคล้องกับสิ่งที่ผู้พูดกล่าว  ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำว่าแต่ละบรรทัดไม่ควรใช้คำเกิน คำ และแต่ละสไลด์ไม่ควรมีข้อความเกิน บรรทัด  เคอรร์กล่าวว่า “อย่านำเสนองานที่ใช้คำพูดและกราฟฟิกมากเกินไป  และให้ถามย้ำกับตัวเองว่า คุณต้องใส่ทุกอย่างไว้บนหน้าจอจริงๆ หรือ”
 
3. ใช้ตัวเลขให้น้อยที่สุดบนสไลด์
 
 
เสน่ห์ของ PowerPoint คือ ความสามารถในการนำเสนอความคิดและสนับสนุนคำพูดของผู้พูดได้อย่างแม่นยำ  แต่ทว่าอาจจะเป็นเรื่องยากteacher_Article2Mar.jpg
ถ้ามีตัวเลขและสถิติที่เข้าใจยากมาเกี่ยวข้อง   การนำเสนองานโดยใช้
PowerPoint ที่มีประสิทธิภาพส่วนใหญ่จะไม่นำเสนอรูปภาพและตัวเลขให้ผู้ชมมากเกินไป  แต่จะนำเสนอข้อมูลดังกล่าวอย่างละเอียดภายหลังในเอกสารที่แจกให้เมื่อสิ้นสุดการนำเสนองาน  ถ้าคุณต้องการเน้นข้อมูลสถิติใน PowerPointใน Microsoft 
Office Small Businessคุณควรจะลองใช้การฟฟิกหรือรูปภาพเพื่อนำเสนอประเด็นดังกล่าว  เคอรร์กล่าวว่า “ตัวอย่างเช่น ผมเคยพูดเกี่ยวกับคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์ที่มีอยู่มากมาย ผมเลือกใช้ภาพถ่ายหญิงชราคนหนึ่งแทนที่จะแสดงตัวเลขต่างๆ บนหน้าจอ”
 
4. อย่าพูดตาม PowerPoint
 
ความเคยชินแย่ๆ อย่างหนึ่งที่ผู้ใช้PowerPoint มักทำบ่อยที่สุด คือ การอ่านตามสิ่งที่ปรากฎบนภาพที่นำเสนอให้ผู้ชมฟัง  การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่จะดูซ้ำซ้อน คือใช้เครื่องเปลี่ยนภาพก็ได้  เหตุผลที่คุณไปยืนอยู่ตรงนั้นคือเพื่อการน้ำเสนอ  ไม่ใช่การทำให้เรื่องน่าสนใจดูน่าเบื่อ   PowerPoint นั้นจะใช้ได้ดีที่สุดเมื่อมีการใช้คำพูดที่เป็นการกล่าวเสริมหรือวิเคราะห์สิ่งที่ปรากฎบนหน้าจอ ไม่ใช่การพูดตามเนื้อหานั้นเพียงอย่างเดียว   โรเบอร์ตา พรีสกอตต์ จาก The Prescott Group บริษัทที่ปรึกษาเรื่องการสื่อสารในรัฐคอนนเคติคัต กล่าวว่า “แม้ว่าคุณจะใช้ PowerPoint แต่คุณก็ยังต้องสบตากับผู้ชมด้วย  เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูด้านหลังของคุณ”
 
5. ควบคุมจังหวะจะโคนในการพูด
 
 
สิ่งที่อาจเป็นเหมือนกับระเบิดอีกสิ่งหนึ่ง คือการที่ผู้พูดบรรยายในจังหวะเวลาที่ตรงกันพอดีกับเมื่อหน้า PowerPoint หน้าใหม่โผล่ขึ้นมา การกระทำดังกล่าวจะทำให้ผู้ฟังเสียสมาธิได้  การนำเสนอผ่านโปรแกรม PowerPoint ที่ดีอย่างลงตัวนั้นควรประกอบไปด้วยการขึ้นหน้าสไลด์หน้าใหม่แล้วเว้นระยะเวลาสักครู่หนึ่งให้ผู้เข้ารับฟังได้มีโอกาสอ่านและคิดตามก่อน จากนั้นจึงค่อยให้การอธิบายขยายความและให้รายละเอียดว่าสิ่งที่ปรากฏบนจอนั้นคืออะไร เคอร์กล่าวว่า มันเป็นเรื่องของจังหวะจะโคน จงจำไว้ว่าอย่าเริ่มบรรยายทันทีที่สไลด์หน้าใหม่ปรากฏขึ้นมา
 
6. พักหน้าจอบ้าง
 
ลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของ PowerPoint ที่โดดเด่นกว่าสินค้าตัวอื่นๆในตระกูล Microsoft Office Small Business ก็คือ PowerPoint นั้นช่วยเสริมให้คำพูดของผู้พูดมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผู้มีประสบการณ์ในการใช้ PowerPoint ไม่ได้รู้สึกเขินอายที่จะปล่อยให้หน้าจอว่างเปล่าบ้างในบางโอกาส การปล่อยให้หน้าจอว่างเปล่าบ้างนั้นไม่เพียงแต่ให้ผู้เข้ารับฟังได้มีช่วงเวลาพักสายตาบ้างเท่านั้นแต่ยังช่วยให้เกิดการเพ่งเล็งความสนใจไปที่การสนทนาระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้การอภิปรายภายในกลุ่มหรือการถาม-
 ColorBrush_Article2.jpg
ตอบและการสนทนาอื่นๆมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 
7. ใช้สีที่ดูมีชีวิตชีวา
 
การเลือกใช้แบบตัวอักษร กราฟฟิกและพื้นหลังที่มีความแตกต่างกันอย่างสะดุดตาจะช่วยให้การถ่ายทอดสารและอารมณ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
 
8. ใส่ภาพและกราฟฟิกอื่น ๆ เพิ่มเติมลงไป
 
อย่าจำกัดงานของคุณเพียงสิ่งที่ PowerPoint มีให้เท่านั้น แต่ลองหารูปภาพและกราฟฟิกต่างๆจากที่อื่นๆมาใส่ลงไปด้วยเพื่อความหลากหลายและดึงดูดสายตา รวมถึงวิดีโอด้วย   รามอน เรย์ ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีจากนิวยอร์ค กล่าวว่า “ผมมักจะเสนอคลิปวิดิโอสั้นๆ หนึ่งหรือสองคลิปทุกครั้งที่มีการนำเสนองาน ซึ่งช่วยให้เกิดอารมณ์ขัน และลดความตึงเครียดในการสื่อสารด้วย”
 
9. แจกเอกสารในตอนท้ายสุด ไม่ใช่ในระหว่างการนำเสนอ
 
บางท่านอาจไม่เห็นด้วยกับผม แต่ผมคิดว่าคงไม่มีผู้พูดคนใดที่จะอยากพูดในขณะที่ผู้ฟังนั้นมัวแต่ยุ่งอยู่กับการอ่านบทสรุปในเอกสารที่เพิ่งแจกให้ นอกเสียจากว่าการให้พวกเขาได้อ่านรายละเอียดในเอกสารไปด้วยและฟังไปด้วยเป็นเรื่องจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ดังนั้นรอให้การบรรยายจบก่อนดีกว่าแล้วค่อยแจกเอกสาร
 
12. ตรวจทานให้ดีก่อนนำเสนอ
 
จงอย่าลืมคิดด้วยมุมมองของผู้ฟัง  กล่าวคือ หลังจากที่คุณร่าง PowerPoint สไลด์ของคุณเสร็จแล้ว คุณสามารถตรวจสอบงานของคุณได้โดยการลองสมมุติว่าคุณก็เป็นผู้เข้าร่วมคนหนึ่งที่กำลังรับฟังสิ่งที่คุณกำลังนำเสนอ หากมีจุดไหนที่ยังขาดความน่าสนใจ ทำให้รู้สึกไขว้เขวหรืองุนงง ก็ให้ทำการแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้การนำเสนอของคุณทั้งหมดนั้นมีคุณภาพที่ดีขึ้น
 
ขอบคุณที่มา : http://www.microsoft.com/business/th-th/Content/Pages/article.aspx?cbcid=68&listid=6b425875-abcf-4f12-abee-3845b43bdc6f

ชีวิตลิขิตเอง

ชีวิตทุกชีวิตมีคุณค่า มีความสำคัญ ขอให้ทุกท่านใช้ชีวิตที่มีอยู่นี้ให้มีความหมายและเพื่อประโยชน์ทั้งต่อตัวท่านเองและผู้อื่นด้วยความไม่ประมาทเถิด...


วันพุธที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2557

ความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์สั้น

ความรู้เกี่ยวกับการทำภาพยนตร์สั้น

ขั้นตอนสำหรับการเขียนบทภาพยนตร์

1. การค้นคว้าหาข้อมูล (research)

เป็นขั้นตอนการเขียนบทภาพยนตร์อันดับแรกที่ต้องทำถือเป็นสิ่งสำคัญหลังจากเราพบประเด็นของเรื่องแล้ว จึงลงมือค้นคว้าหาข้อมูลเพื่อเสริมรายละเอียดเรื่องราวที่ถูกต้อง จริง ชัดเจน และมีมิติมากขึ้น คุณภาพของภาพยนตร์จะดีหรือไม่จึงอยู่ที่การค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าภาพยนตร์นั้นจะมีเนื้อหาใดก็ตาม

2. การกำหนดประโยคหลักสำคัญ (premise)

หมายถึงความคิดหรือแนวความคิดที่ง่าย ๆ ธรรมดา ส่วนใหญ่มักใช้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นถ้า…” (what if) ตัวอย่างของ premise ตามรูปแบบหนังฮอลลีวู้ด เช่น เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นในนิวยอร์ค คือ เรื่อง West Side Story, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ดาวอังคารบุกโลก คือเรื่อง The Invasion of Mars, เกิดอะไรขึ้นถ้าก็อตซิล่าบุกนิวยอร์ค คือเรื่อง Godzilla, เกิดอะไรขึ้นถ้ามนุษย์ต่างดาวบุกโลก คือเรื่อง The Independence Day, เกิดอะไรขึ้นถ้าเรื่องโรเมโอ &จูเลียตเกิดขึ้นบนเรือไททานิค คือเรื่อง Titanic เป็นต้น

3. การเขียนเรื่องย่อ (synopsis)

คือเรื่องย่อขนาดสั้น ที่สามารถจบลงได้ 3-4 บรรทัด หรือหนึ่งย่อหน้า หรืออาจเขียนเป็น story outline เป็นร่างหลังจากที่เราค้นคว้าหาข้อมูลแล้วก่อนเขียนเป็นโครงเรื่องขยาย (treatment)

4. การเขียนโครงเรื่องขยาย (treatment)

เป็นการเขียนคำอธิบายของโครงเรื่อง (plot) ในรูปแบบของเรื่องสั้น โครงเรื่องขยายอาจใช้สำหรับเป็นแนวทางในการเขียนบทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์ บางครั้งอาจใช้สำหรับยื่นของบประมาณได้ด้วย และการเขียนโครงเรื่องขยายที่ดีต้องมีประโยคหลักสำคัญ (premise) ที่ง่าย ๆ น่าสนใจ

5. บทภาพยนตร์ (screenplay)

สำหรับภาพยนตร์บันเทิง หมายถึง บท (script) ซีเควนส์หลัก (master scene/sequence)หรือ ซีนาริโอ (scenario) คือ บทภาพยนตร์ที่มีโครงเรื่อง บทพูด แต่มีความสมบูรณ์น้อยกว่าบทถ่ายทำ (shooting script) เป็นการเล่าเรื่องที่ได้พัฒนามาแล้วอย่างมีขั้นตอน ประกอบ ด้วยตัวละครหลักบทพูด ฉาก แอ็คชั่น ซีเควนส์ มีรูปแบบการเขียนที่ถูกต้อง เช่น บทสนทนาอยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษฉาก เวลา สถานที่ อยู่ชิดขอบหน้าซ้ายกระดาษ ไม่มีตัวเลขกำกับช็อต และโดยหลักทั่วไปบทภาพยนตร์หนึ่งหน้ามีความยาวหนึ่งนาที

6. บทถ่ายทำ (shooting script)

คือบทภาพยนตร์ที่เป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเขียน บทถ่ายทำจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมจากบทภาพยนตร์ (screenplay) ได้แก่ ตำแหน่งกล้อง การเชื่อมช็อต เช่น คัท (cut) การเลือนภาพ (fade) การละลายภาพ หรือการจางซ้อนภาพ (dissolve) การกวาดภาพ (wipe) ตลอดจนการใช้ภาพพิเศษ (effect) อื่น ๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีเลขลำดับช็อตกำกับเรียงตามลำดับตั้งแต่ช็อตแรกจนกระทั่งจบเรื่อง

7. บทภาพ (storyboard)คือ บทภาพยนตร์ประเภทหนึ่งที่อธิบายด้วยภาพ คล้ายหนังสือการ์ตูน ให้เห็นความต่อเนื่องของช็อตตลอดทั้งซีเควนส์หรือทั้งเรื่องมีคำอธิบายภาพประกอบ เสียงต่าง ๆ เช่น เสียงดนตรี เสียงประกอบฉาก และเสียงพูด เป็นต้น ใช้เป็นแนวทางสำหรับการถ่ายทำ หรือใช้เป็นวิธีการคาดคะเนภาพล่วงหน้า (pre-visualizing) ก่อนการถ่ายทำว่า เมื่อถ่ายทำสำเร็จแล้ว หนังจะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ซึ่งบริษัทของ Walt Disney นำมาใช้กับการผลิตภาพยนตร์การ์ตูนของบริษัทเป็นครั้งแรก โดยเขียนภาพ เหตุการณ์ของแอ็คชั่นเรียงติดต่อกันบนบอร์ด เพื่อให้คนดูเข้าใจและมองเห็นเรื่องราวล่วงหน้าได้ก่อนลงมือเขียนภาพ ส่วนใหญ่บทภาพจะมีเลขที่ลำดับช็อตกำกับไว้ คำบรรยายเหตุการณ์ มุมกล้อง และอาจมีเสียงประกอบด้วย


ขั้นตอนในการถ่ายภาพยนตร์สั้น

ขั้นที่1 หาองค์ประกอบด้านวิธีการ คือ หลักการ การวางแผน การถ่ายทำการตัดต่อ การประเมินผล

ขึ้นที่2 หาองค์ประกอบด้านบุคลากร คือ บุคลากรในหน้าที่ต่างๆตั้งแต่ ตัวละคร บุคคลทางเทคนิค รวมไปถึง ผู้มีความสามารถเฉพาะครับ จะดีมากๆ และอีกอย่างคือทีมเวิร์ครับ

ขั้นที่3 เตรียมการผลิต คือ วางแผน เตรียมสถานที่ บท อุปกรณ์ ให้ครบ

ขั้นที่4 บทหนัง คือ วางบท คำพูด ระยะเวลาสถานที่ เรื่องราว ที่จะสื่อออกมา เรื่องบทนี้จะมี หลายแบบ

- บทแบบสมบูรณ์ ประมาณว่า เก็บทุกรายละเอียดทุกคำพูดครับ

- บทแบบอย่างย่อ ประมาณว่า เปิดกว้างๆให้ผู้ชมสังเกตในความเข้าใจของตนเอง

- บทแบบเฉพาะ

- บทแบบร่างกำหนด

ขั้นที่5 การผลิต อย่างแรกเลย แต่ละฉากคุณต้องเลือกมุมกล้องให้เหมาะสม กับสภาพอากาศ ขนาดวัตถุ ว่าควรเห็นแค่ไหน ขนาดมุมกล้องมีหลายแบบนะเยอะมาก ผมพูดรวมๆละกัน มีแบบ ระยะไกลมาก ระยะไกล ระยะปานกลาง ระยะใกล้

ขั้นที่6 ค้นหามุมกล้อง

- มุมคนดู ประมาณว่า เป็นมุมถ่ายจากรอบนอกของฉากนั้นๆครับ เหมือนผู้ชมเป็นคนสังเกตฉากนั้นๆ

- มุมแทนสายตา


- มุมพ้อยออฟวิว มุมนี้แนะนำให้ใช้เยอะๆครับ สวยมากมุมนี้ในการทำหนัง เป็นมุมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์ครับ เช่น การถ่ายข้ามไหล่ของตัวละคร หรือวัตถุ ครับ


ขั้นที่7 การเคลื่อนไหวของกล้อง

- การแพน การทิลท์ ประมาณว่า การทำเคลื่อนไหวกล้องให้เห็นตำแหน่งวัตถุนั้นสัมพันกัน

- การดอลลี่ คือ การติดตามการเคลื่อนไหวของภาพหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

- การซูม เป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภาพ เหมือนเน้นความสนใจในจุดๆหนึ่ง

ขั้นที่8 เทคนิคการถ่าย

เอาเป็นว่าจับกล้องให้มั่นนะครับ อย่างผมก็จะจับ แบบกระชับกับตัวเลย คือแขนทั้งสองข้างแนบตัวเลยครับ

และก็ไม่แนะนำให้เคลื่อนไหวกล้องแบบรวดเร็วนะครับ กล้องจะปรับโฟกัสไม่ทัน ทำให้ภาพเบลอครับ

ขั้นที่9 หลังการผลิต ก็ต้องตัดต่อ เพิ่มเสียง เอ็ฟเฟก ความคมชัด ความเด่นชัดเรื่อง อักษรหนังสือ

ขั้นที่10 การตัดต่อ

อย่างแรกเลยครับจัดลำดับภาพ และเวลาให้ตรงและเหมาะสม อันไหนเกินยาวก็ให้ตัดทิ้งครับอย่าให้ขัดอารมณ์

อย่างสองคือจัดภาพให้เหมาะสม เนื้อหาและโครงเรื่องที่เราวางไว้ครับ

อย่างสามแก้ไขข้อบกพร่องครับ

อย่างสี่ เพิ่มเทคนิคให้ดูสวยงาม


เทคนิคการถ่ายวีดีโอ


ปัจจุบันกล้องวีดีโอมีอยู่หลายประเภท เช่น แบบ Handycam(กล้องขนาดเล็ก) กล้องแบบมืออาชีพ(ขนาดใหญ่) แต่หลักการและเทคนิคการถ่ายจะเหมือนๆกัน

ก่อนอื่นเรามาทราบถึงประเภทของสื่อที่ใช้บันทึกภาพของกล้องวีดีโอก่อนว่าปัจจุบันมีอยู่กี่แบบ

1.แบบใช้ม้วนเทป ปัจจุบันเหลือเพียง miniDV เป็นส่วนใหญ่

2.แบบใช้แผ่น ซึ่งจะใช้แผ่น mini DVD เป็นตัวเก็บข้อมูล

3.แบบใช้ Hard Disk ปัจจุบันมีให้เลือกหลายขนาดของความจุ เช่น 30 GB, 60 GB ต้น

4.แบบใช้ Memory card เช่น SD, Memory Stick, XDcard เป็นต้น

เทคนิคการถ่าย

1. ไม่ควรถ่ายแช่นานเกินไป เพราะจะดูไม่น่าสนใจและน่าเบื่อ

2.ไม่ควรยกกล้องไปมาแทนสายตา เพราะจะทำให้ผู้ชมลายตาได้

3.ถ้าเหตุการณ์นั้นยังไม่สิ้นสุด ไม่ควรหยุดถ่ายกลางคัน

4.ไม่ควร Zoom หรือ Pan ขณะถ่าย บ่อยเกินไป เพราะจะทำให้ผู้ชมเวียนหัว

5.หาจุดจบที่ทำให้สนใจ

6.พยายามมองหาจุดที่น่าสนใจรอบๆตัวเพื่อจะได้ไม่พลาดเหตุการณ์สำคัญ

หลักการง่ายๆแค่นี้ ท่านก็จะได้ภาพที่ดูดี ระดับมืออาชีพแล้ว

7. ถือกล้องให้นิ่ง อย่าสั่น เทคนิคง่ายๆคือกลั้นหายใจ หรือหายใจเบาๆ ขณะที่กด record


เทคนิคการถ่ายวีดีโอให้นิ่งที่สุด โดยไม่ใช้ขาตั้งกล้อง

ส่วนใหญ่แล้วช่างภาพวีดีโอมือสมัครเล่นทั่วไป จะชอบถือกล้องในแบบที่ถนัดที่สุด แบบที่สบายที่สุด และแบบที่ถือแล้วไม่เมื่อย แต่มุมมองที่ออกมา ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แถมภาพสั่นยังกะอยู่ในคลื่นกลางทะเล วิธีที่จะทำให้วีดีโอนั้นไม่สั่นก็ต้องใช้ขาตั้งกล้องนะครับ ขาตั้งกล้องช่วยได้มากทีเดียว และต้องเป็นหัวแพนด้วย ถ้าเป็นหัวบอล ใช้สำหรับกล้องถ่ายภาพนิ่งนะครับ แต่ถ้าเกิดว่าเราไปเที่ยว ถือแค่กล้องถ่ายวีดีโอไปตัวเดียว ไม่อยากเอาขาตั้งกล้องไปด้วย มันใหญ่และเกะกะมาก ผมมีเทคนิคเล็กๆน้อยๆครับ ที่จะทำให้ได้มุมมองที่สวย และจับถือได้นิ่งมากๆ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องเลย ขั้นตอนแรกนะครับ ให้ท่านจับกล้องด้วย 2 มือ กุมกล้องไว้ในมือทั้ง 2 จากนั้นยืดแขนออกไปให้สุด เพื่อฟิตกล้ามเนื้อก่อน ซัก 3-5 รอบ แล้วก็เอากล้องมาชิดที่หน้าท้อง ติดหน้าท้องเลยนะครับ ดันให้แน่นๆ เสยมุมกล้องขึ้นบนนิดหน่อยพอสวยงาม จากนั้นก็บิดจอ LCD ขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้มองเห็นจอภาพถนัดๆ จากนั้นก็กด Record ได้เลย ในระหว่างที่ถ่ายอยู่ ต้องใช้มือทั้ง 2 ที่กุมกล้องอยู่ ดันกล้องให้ติดหน้าท้องนะครับ รับรองได้ว่า วีดีโอที่ออกมา สวยและนิ่งใช้ได้เลยครับ แต่ถ่ายไปนานๆ จะรู้สึกเมื่อยนะครับ เพราะต้องกดกล้องเข้าหาหน้าท้องตัวเองอยู่ตลอดเวลา หากถ่ายนานๆใช้ขาตั้งหรือโต๊ะ หรือหาอะไรที่มันพอจะวางกล้องได้มันจะดีกว่านะครับ ลองเอาเทคนิคนี้ไปประยุกต์ใช้กันดู หวังว่าคงจะมีประโยชน์สำหรับสมาชิกทุกท่านครับ

การเขียนบทภาพยนตร์จากเรื่องสั้น

การเขียนบทอาจเป็นเรื่องที่นำมาจากเรื่องจริง เรื่องดัดแปลง ข่าว เรื่องที่อยู่รอบ ๆ ตัว นวนิยาย เรื่องสั้น หรือได้แรงบันดาลใจจากความประทับใจในเรื่องราวหรือบางสิ่งที่คนเขียนบทได้สัมผัส เช่น ดนตรี บทเพลง บทกวี ภาพเขียน และอื่น ๆ หรืออะไรที่ทำให้เกิดความคิด จินตนาการ การสร้างสรรค์ คือการนำเรื่องราวมาประสมประสานกันให้เป็นเรื่องขึ้นมา ความพยายามเท่านั้นทำให้เกิดความสำเร็จ ขอให้ทุกท่านสนุกกับการทำหนังสั้นนะครับ

ขอบคุณที่มา : http://joynaka23.wordpress.com