ความจริง ความงาม ความดี
มนุษย์อุบัติมาพร้อมกับความอยากรู้ จักรวาลและความจริงแท้คือความท้าทาย จึงแสวงหาคำตอบโดยพัฒนาวิธีวิทยารูป แบบต่างๆ ที่เชื่อว่าเข้าถึงความจริง หนึ่งวิธีที่เรียกว่า “ฟังผู้รู้ถามผู้มีอำนาจ” (by authority) เป็นวิธีวิทยาที่มีมาพร้อมสังคมมนุษย์ ลองทัศนาทัศนะ “ผู้รู้ผู้มีอำนาจ” ดังต่อไปนี้
๑. ศาสนา
ฟริตจอฟ คาปรา พยายามเชื่อมโยงความรู้ฟิสิกส์นิวเคลียร์ระดับจักรวาลที่เขามีกับศาสนาว่า “ทฤษฎีควอนตัมและทฤษฎีสัมพันธภาพได้ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า และยิ่งคล้ายคลึงมากยิ่งขึ้นเมื่อรวมเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กมากๆ จนไม่สามารถมองเห็นด้วยกล้องจุลทรรศน์ นั่นคืออธิบายคุณสมบัติของปฏิกิริยาของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม ซึ่งอนุภาคเหล่านั้นเป็นส่วนประกอบ ของสะสารทุกชนิดบนโลกนี้ เราพบว่า อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา และไม่มีตัวตนที่แท้ ซึ่งคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”
แอลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ผู้ทำให้แสนกว่าคนต้องตายด้วยความรู้ของเขา มีความเห็นว่า “การกลัวความตายคือความกลัวที่ไม่มีเหตุผลมากที่สุดในบรรดาความกลัวทั้งปวง... เส้นทางสู่ความเป็นศาสนาที่แท้จริงไม่ได้วางอยู่บนพื้นฐานการกลัวชีวิต กลัวความตาย หรือศรัทธาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ด้วยความพากเพียรตามความรู้ที่มีเหตุผล ในอีกมุมหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นว่า ความรู้จากศาสนาแห่งจักรวาลเป็นแรงจูงใจที่แข็งแกร่งและสง่างามที่สุดในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ศาสนามีความหมายง่ายๆว่า เป้าหมายของชีวิต ทางเดินที่ยาวไกล ต้องมีเป้าหมาย เป้าหมายที่ถูกต้อง เดินตามทางที่ถูกต้อง ก็จะถูกต้อง”
๒. ความรัก
นักเขียนนวนิยายไม่ว่าชาติใด มักบอกว่า “ความรักทำให้คนตาบอด ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ไม่ว่าที่ใดจะยากลำบาก ถ้ามีความรัก ก็จะเกิดความอบอุ่น”
๓. ความโลภ
บิลล์ เกตต์ มนุษย์ที่ร่ำรวยที่สุดที่โลกเคยมี กล่าวว่า “ความสำเร็จเป็นครูที่แย่ เพราะทำให้คนฉลาดคิดว่าตัวเองจะไม่มีวันแพ้”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ตัวเองยอมลำบาก เพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดแก่ผู้อื่น”
๔. ความโกรธ
จอร์จ ดับเบิลยู. บรูช ประกาศหลังเหตุการณ์ ๙๑๑ ว่า “ประเทศที่ไม่ร่วมมือกับเราจัดการกับผู้ก่อการร้าย ถือเป็นศรัตรูกับอเมริกา”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ไม่มีใครในโลกนี้ที่เราไม่รัก ไม่มีใครที่เราไม่ไว้ใจ ไม่มีใครที่เราไม่ให้อภัย... การให้อภัยคนอื่น คือการดีต่อตัวเอง”
๕. ความหลง
อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศหนึ่ง (ที่มีเค้าหน้าออกเหลี่ยมๆ) เคยประกาศว่า “จะไม่มีคนจนในประเทศนี้ภายใน ๕ ปี ปัญหารถติดจะหมดไปภายใน ๖ เดือน และ... ฯลฯ... “
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ทำตัวให้กลม ทำหัวใจให้เหลี่ยม หมายถึง ทำตัวให้กลมกลืน รื่นไหล ปะทะกับผู้อื่นหรือสิ่งอื่นจะได้ไม่บาดเจ็บติดขัด กระทบกระเทือน และมีหลักการยึดเหนี่ยวใจไม่ให้ล่องลอยไป”
๖. ปัญญา
หลวงพ่อชา สอนว่า “เวลามองปัญหา อย่ามองแบบไฟฉาย ให้มองอย่างเทียน”
ฉือจี้ ก็สอนเช่นเดียวกันว่า “จิตวิญญาณแห่งเทียนคือ ยอมเผาผลาญตนเองเพื่อแสงสว่างและให้ความอบอุ่นแก่ผู้อื่น การจุดเทียนให้สว่าง ต้องจุดที่ไส้เทียน เปรียบเสมือนจิตใจ ฉะนั้นจะสว่างได้ ต้องจุดที่ใจ”
๗. ความหวัง
กฎของนิวตัน “กฎของนิวตันก่อให้เกิด คลื่นลูกที่สอง มีการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในโลก วิศวกรนำกฎของนิวตันไปสร้างเครื่องจักรกลมากมาย มีการสร้างเรือไอน้ำลำใหญ่ สะพานขึงทั่วยุโรป ระบบขนส่งทางรถไฟ โรงงานอุตสาหกรรมเกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด แต่หลังจากนิวตันเสียชีวิตไปสองร้อยปีสงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็อุบัติขึ้น”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “การทำแปลงผักสวยๆ แต่ไม่ได้เอาเมล็ดพันธ์เพาะลงไป ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีความหวัง ไม่มีเป้าหมายในชีวิต การปลูกผัก ก็คือการปลูกความหวัง เพียงมีเมล็ดพันธุ์เม็ดหนึ่ง ก็แตกหน่อออกไปได้มหาศาล”
๘. ความงาม
โจโฉ เมื่อตีเมืองอ้วนเซียได้แล้ว สั่งตั้งโต๊ะฉลอง เมื่อเมาได้ที่จึงถามออกไปว่า “เมืองนี้มีหญิงงามบ้างไหม”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ความงามในโลกมี ๕ อย่าง
๑.ฟ้างาม ดวงดาวงามที่สุด
๒.สังคมงาม ความห่วงใยงามที่สุด
๓.สิ่งแวดล้อมงาม สีเขียวงามที่สุด
๔.ใบหน้างาม รอยยิ้มงามที่สุด
๕.จิตใจงาม รู้บุญคุณงามที่สุด”
๙. การเดินทาง
ทีมนักวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทำการศึกษาพัฒนาการในระยะยาวของเด็ก พบว่า “เด็กที่สามารถยับยั้งใจไม่กินขนม Marshmallow ได้นั้นมีผลการเรียนที่ดีกว่า สามารถเข้ากับคนอื่นได้ดีกว่า และจัดการกับความเครียดได้ดีกว่าเด็กที่ไม่สามารถห้ามใจตนเองไม่ให้กินขนมก้อนแรกจากการทดลองได้ด้วยเวลาสั้นๆ หลังจากผู้ใหญ่ออกจากห้องไป หลังจากนั้นหลายสิบปี กลุ่มเด็กที่สามารถห้ามใจตนเองกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่ากลุ่มเด็กที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้อย่างมากมาย”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “คนทุกคนเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ละวันก็คือหน้ากระดาษที่ว่างเปล่า ความรักก็คือปากกา กิจกรรมที่ทำก็คือตัวหนังสือ ขอให้แต่ละคนบันทึกกิจกรรมด้วยความรัก”
๑๐. ความเท่าเทียม
นโปเลียน ประกาศอุดมการณ์ประชาธิปไตยหลังการปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อปี 1789 ภายใต้คำขวัญว่า
“เสรีภาพ ภราดรภาพ และเสมอภาค”
แต่ ฉือจี้ สอนว่า “คนเราเป็นพระพุทธทุกคน มีปัญญาเท่าเทียมพระพุทธ เพียงแต่เรียกว่าเป็นพระพุทธที่ถูกพันธนาการไว้...ทุกคนเป็นโพธิสัตว์ อยู่ในตัวเอง โพธิสัตว์มีลมหายใจ ทำความดี ๑ ชั่วโมง ก็เป็นโพธิสัตว์ ๑ ชั่วโมง ทำความดี ๑ วัน ก็เป็นโพธิสัตว์ ๑ วัน ทำความดีตลอดไป ก็เป็นโพธิสัตว์ตลอดไป”
๑๒. การบริหาร
ดร.เอดเวิร์ด เดมมิ่ง กล่าวว่า “การทำงานทุกระบบย่อยในองค์กรต้องมี PDCA คือ Plan DO Check Apply”
อธิการบดีในของประเทศหนึ่งถ่ายทอดนโยบายกับคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยว่า “ประสิทธิผลของคณะและโบนัสของอาจารย์แต่ละปีจะวัดจาก KPI ที่เซ็นไว้ในแผนปฏิบัติราชการกับอธิการบดีและ กพร.รวมทั้งผลงานตีพิมพ์ในวารสารที่มี Impact Factor”
แต่ฉือจี้ สอน (ให้เตือนตัวเอง) ว่า “วันไหนไม่ทำงาน วันนั้นไม่กินข้าว ...วางเป้าใหญ่ แต่ทำทีละขั้น เพื่อไม่ให้คนท้อ เอาความสำเร็จแต่ละขั้นมาสร้างกำลังใจคนทำงาน”
๑๓. นักบริหาร
กาเซี่ยง เป็นผู้บัญชาการกองทัพที่ชาญฉลาดในยุคสามก๊ก กล่าวว่า “ถึงเวลาที่จะบินไปหาต้นไม้ใหม่เสียที เพราะต้นไม้เก่าอย่างโจโฉ อายุมากแล้ว”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “การมีธรรมะ ต้องยืนตรงเหมือนต้นสน คือมีจิตใจมั่นคงอย่ามี ๓ เอียงคือ (๑) อย่าเอียงไปที่เงิน (๒) อย่าเอียงไปที่ชื่อเสียง และ (๓) อย่าเอียงไปที่อำนาจ”
๑๔. อำนาจ
เซอร์ ฟรานซีส เบคอน กล่าวว่า “ความรู้ คือ อำนาจ การรู้จักประยุกต์ใช้ความรู้ทำให้ชีวิตมีพลังอำนาจ”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “อำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือ ความรักที่ยิ่งใหญ่ คื รักมนุษย์ทุกผู้ จิตใจที่รักผู้อื่น”
๑๕. จังหวะ
เหมา เจ๋อ ตุง สอนกลยุทธ์การรบแบบกองโจรว่า “เขาบุก เราถอย เขาถอย เราแหย่ เขาอ่อนแอ เราเข้าตี”
แต่ ฉือจี้ สอน (ให้คนเต้นรำกับชีวิต) ว่า “เขาใหญ่ เราเล็ก เขาบุก เราถอย เขาพูด เราฟัง เขาถูก เราผิด ทำตัวเองให้เล็กลง”
๑๖. วิชาศึกษาทั่วไป
นักศึกษาแพทย์ของไทย “ต้องเรียนวิชาศึกษาทั่วไปให้ได้ ๓๐ หน่วยกิต เพื่อให้มีคุณลักษณะของบัณฑิตที่พึงประสงค์ตามเกณฑ์ของ สกอ.”
นักศึกษามหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ของฉือจี้ต้องเรียนวิชาคนใน ๓ ห้อง
“ห้องพู่กันจีน : สอนบุคลิกภาพ
ห้องชงชา : สอนให้คนหันหน้าเข้าหากัน ให้เกียรติกัน
ห้องจัดดอกไม้ : ทำตัวเองให้เป็นดอกไม้ คนจัดดอกไม้ ดอกไม้จัดคน”
๑๗. โรงพยาบาล
ป้ายโฆษณาเชิญชวนทำศัลยกรรมความงามของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งบอกว่า “สวยด้วยแพทย์”
แต่ ผอ.โรงพยาบาลฉือจี้บอกกับแขกที่มาเยี่ยมว่า “สิ่งที่แพงที่สุดในโรงพยาบาล ไม่ใช่เครื่องมือ แต่เป็นจิตใจที่อดทน และสิ่งที่สวยงามที่สุดคือ รอยยิ้มของผู้ป่วย”
๑๘. การสอน
เหลาจื้อ สอนว่า “การสอนโดยไม่ใช้ถ้อยคำ คือ การสอนโดยหลักการเปิดโอกาสให้แต่ไม่แทรกแซง”
ฉือจี้ สอนว่า “ไม่มีเด็กที่เรียนไม่เป็น มีแต่ครูที่สอนไม่เป็น”
๑๙. Coffee or Tea ?
ฝรั่งอวดรู้ผู้หนึ่งเคยบอกว่า “ชาวตะวันตกชอบดื่มกาแฟ สะท้อนตัวตนความเป็นเสรีชน รักเสรีภาพ และเคารพในความแตกต่าง”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “ชาที่ชงต่างเวลากัน รสชาติต่างกัน เวลาต่างกัน ความยุติธรรมก็ต่างกัน...จิตวิญญาณแห่งการดื่มชา คือ คิดดี พูดดี ทำดี”
๒๐. การแข่งขัน
นักการตลาด บอกทีมขายว่า “ถ้าคุณหยุด เท่ากับถอยหลัง ถ้าคุณเดิน เท่ากับให้คุณอื่นแซง ถ้าคุณวิ่งเท่ากับคุณเข้าแข่งขัน”
แต่ฉือจี้ สอนว่า “สวนผักต้องปลูกผักให้มาก หญ้าจึงจะไม่ขึ้น เหมือนทำความดีมากๆ ก็จะไม่มีเวลา ที่ทาง ให้ความไม่ดีเกิดขึ้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น