วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับป้องกันโรคไต

ถ้าท่านได้อ่าน บันทึกสำคัญที่ใจ ในสมุดประสบการณ์ชีวิต ที่ผมเขียนขึ้นท่านอาจจะรู้สึกกลัวโรคภัย รู้สึกอยากจะรักษาสุขภาพตัวเองขึ้นมาทันที ผมเองคนหนึ่งทุกวันนี้ผมจะพยายามใส่ใจสุขภาพตัวเองและคนที่ผมรักมากที่สุด ผมกลัวกลัวที่จะต้องเผชิญกับภาวการณ์เป็นโรคโดยเฉพาะโรคที่รักษาไม่หายหรือรุนแรง แต่ “ขึ้นชื่อว่า โรคภัยไข้เจ็บจะรักษาได้หรือรักษาไม่ได้ผมก็ไม่เอาอะไรทั้งนั้น” แต่ผมต้องกลับมารู้จักกับโรคโรคหนึ่ง ที่ชื่อว่า "โรคไต" โดยผมไม่อยากรู้และอยากให้เกิด โดยพ่อผมป่วยเป็นไตวายต้องฟอกไตตลอดชีวิต มันน่ากลัวนะสำหรับผม หลายคนคงคิดนะครับว่าชีวิตนี้มีกรรมที่ต้องคอยไปฟอกไต ล้างไต หรือขนาดต้องเปลี่ยนไต เพราะเมื่อไตสูญเสียประสิทธิภาพการทำงานไป เราก็จำเป็นต้องหาวิธีอื่นๆ มาพยุงไตให้สามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ เพื่อต่อชีวิตของเจ้าของไตนั้น ท่านผู้รักสุขภาพทั้งหลายครับ ชีวิตเราอย่างน้อย เราก็เป็นส่วนหนึ่งในการกำหนดชีวิตเราได้ อาจไม่ร้อยเปอร์เซ็นแต่เราทำดีรักษาสุขภาพให้ดีไว้ก่อน จะไม่ได้เสียใจภายหลัง โรคทุกโรคมีแนวทางป้องกันได้วันนี้ผมนำบทความดีๆเรื่องโรคไต มาฝากครับ 

ไต มีหน้าที่อะไร

ก่อนที่จะรู้จักโรคไต เราควรที่จะทำความรู้จักกับอวัยวะที่มีชื่อว่า ไต หรือ kidney กันก่อนครับ ไตเป็นอวัยวะหนึ่งของร่างกายมนุษย์ที่มีความมหัศจรรย์ และมีจำเป็นอย่างมากในการดำรงชีวิต คนปกติมีไต 2 ข้าง วางอยู่บริเวณกลางหลังข้างละ 1 อัน ไตทำหน้าที่กลั่นกรองน้ำ เกลือแร่ และสารเคมีส่วนเกินที่ร่างกายไม่ต้องการ พร้อมกับทำการคัดหลั่งของเสียออกจากร่างกาย ในรูปของน้ำปัสสาวะผ่านกรวยไตลงไปเก็บกักในกระเพาะปัสสาวะ เพื่อให้พร้อมในการกำจัดทิ้งออกทางท่อปัสสาวะ

นอกจากนี้ ไตยังทำหน้าที่ปรับสมดุลของสารน้ำ เกลือแร่ในร่างกายและทำการสร้างสารและฮอร์โมนอีกหลากหลายชนิด ได้แก่ วิตามินดี ฮอร์โมนกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด และฮอร์โมนควบคุมความดันโลหิต เมื่อความบกพร่องเกิดขึ้นกับไต จนไตไม่สามารถทำหน้าที่ของตนได้อย่างสมบูรณ์ ในระยะแรกอาจพบความผิดปกติเพียงเล็กน้อย ไม่รุนแรง เช่นตรวจพบเพียงโปรตีนไข่ขาวรั่วในปัสสาวะจากการตรวจสุขภาพประจำปี โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ทำการรักษา จนไตเสื่อมหน้าที่มากขึ้น จะเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะไตวายเรื้อรัง

เมื่อไต เสียหน้าที่

ภาวะไตวายเรื้อรังในระยะนี้ ยังสามารถแก้ไขให้ไตกลับคืนหน้าที่ได้ หากได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ต่อเนื่องและเหมาะสม แต่หากปล่อยปละละเลยจนไตเสื่อมทุกหน้าที่อย่างสมบูรณ์ และถาวร จนเกิดภาวะที่เรียกว่า ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หนทางเดียวที่แพทย์จะสามารถรักษาชีวิตให้ได้ก็คือ การบำบัด ทดแทนไต เช่น การฟอกเลือด การฟอกไตทางช่องท้อง และการปลูกถ่ายไตใหม่ให้ แม้ว่าจะได้รับการปลูกถ่ายไตใหม่ ก็ใช่ว่าไตนั้นจะใช้งานได้เหมือนอย่างไตของคนปกติ เพราะไม่ใช่ไตที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด ร่างกายต้องปรับตัวเข้ากับไตใหม่ ไตใหม่ที่ปลูกถ่ายมานี้ส่วนใหญ่มีอายุการใช้งานเฉลี่ยไม่เกินสิบปี และเมื่อการเปลี่ยนไตสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจะต้องหลีกเลี่ยง และระวังกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เนื่องจากไตใหม่ที่ปลูกถ่ายใหม่นั้น ถือเป็นสิ่งแปลกปลอมของร่างกาย ที่กระตุ้นให้ภูมิต้านทานของร่างกายออกมาทำหน้าที่ต่อต้าน จึงจำเป็นต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายไตจึงเสี่ยงต่อการเชื้อต่างๆ จากภายนอกได้ง่าย เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าวเข้ามาเยือนตัวคุณ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้ความสนใจป้องกันตนเอง หมั่นตรวจสอบตัวคุณอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะความสะอาดของทั้งเครื่องใช้ อาหาร และการสัมผัสกับแหล่งเชื้อโรคในที่ต่างๆ เช่น ควรหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีผู้คนแออัด เป็นต้น

สัญญาณเตือนภัย ไตผิดปกติ

ทางการแพทย์สามารถแบ่งความผิดปกติของไตได้เป็น 8 ประเภท ได้แก่ โรคเส้นเลือดฝอยที่ไตอักเสบ โรคเนื้อเยื่อไตอักเสบ โรคไตวายเฉียบพลัน โรคไตวายเรื้อรัง โรคติดเชื้อของไตและท่อทางเดินปัสสาวะ โรคความผิดปกติของท่อไตและถุงน้ำ โรคนิ่ว และโรคมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งแต่ละประเภทมีต้นเหตุก่อโรคมากมาย และมีอาการทางคลินิกแตกต่างกันหลากหลายครับ เช่น ในระยะแรกของผู้ที่มีไตวายเรื้อรัง อาจมีอาการอ่อนเพลีย นอนไม่หลับ คันตามตัว ต่อมาอาจพบอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ตุ่มรับรสของลิ้นทำงานเปลี่ยนไป น้ำหนักตัวลด ชาปลายมือปลายเท้า ขี้หนาว ปวดแสบปวดร้อนบริเวณเท้า ปวดศีรษะ เป็นต้น อาการเหล่านี้ไม่ใช่อาการเฉพาะของโรคไตอย่างเดียว แต่พบได้ในอีกหลายโรค

ดังนั้นเราสามารถสังเกตความผิดปกติของไตตนเองได้โดยสังเกต สัญญาณเตือนภัย 6 ประการ ดังนี้คือ

1. การเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะออกน้อยลง เป็นต้น

2. มีอาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะขัด สะดุดหรือมีเศษนิ่วปนออกมา

3. ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะมีสีน้ำล้างเนื้อหรือปัสสาวะเป็นฟอง

4. การบวมของใบหน้า ลำตัว ขา และเท้า

5. อาการปวดบั้นเอวหรือบริเวณสีข้าง (ไม่ต่ำกว่าเอวหรือไม่อยู่กลางหลัง)

6. ตรวจพบความดันโลหิตสูง

หากพบสัญญาณเตือนภัยข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ขอแนะนำให้คุณรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เนิ่นนานจนสายเกินแก้ คุณที่รู้สึกว่าตนเองสุขภาพดีมาก ไม่เคยเจ็บป่วยต้องเข้าโรงพยาบาล บางคนเคยเป็นนักกีฬา ความแข็งแรงเหล่านี้ไม่ได้รับประกันว่า คุณจะไม่มีโอกาสเป็นโรคไต แม้จะไม่มีสัญญาณเตือนภัย ก็อาจจะมีโรคไตซ่อนเร้นในตัวแล้วก็เป็นได้ ทางที่ดีควรพิจารณา เคล็ดลับ 10 ประการป้องกันการเกิดโรคไต โดย เฉพาะคุณมีโรคประจำตัวบางอย่างที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไต เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคเก๊าต์ (gout) โรคปวดเส้นหรือปวดกล้ามเนื้อที่ต้องรับประทานยาแก้ปวดเป็นประจำ เป็นต้น ยิ่งต้อง ปฏิบัติตามเคล็ดลับ 10 ประการ อย่างเคร่งครัดนี้เลยครับ

1. หมั่นสนใจสุขภาพของตนเอง และไปรับการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี ซึ่ง การตรวจสุขภาพนั้นมักรวมเอาการตรวจสุขภาพไตขั้นพื้นฐาน 3 ประการไว้ด้วย ได้แก่ การวัดความดันโลหิต การตรวจปัสสาวะ และการตรวจเลือดหาระดับของเสียในร่างกาย (ครีอะตินีน) ซึ่งทั้งสามอย่างนี้บอกได้ขั้นต้นว่าคุณมีโรคไตซ่อนอยู่หรือไม่

2. เลือกอาหารที่มีคุณค่า สุกสะอาด และมีประโยชน์ หลีก เหลี่ยงการกินอาหารไขมันสูง ไม่กินโปรตีนมากจนเกินไป เพราะจะทำให้ไตเสื่อม และไม่กินอาหารน้อยไป จนเกิดภาวะขาดสารอาหาร หลีกเหลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง และอาหารรสจัด การกินเค็มมากไปจะทำให้เกิดอาการบวม หัวใจวาย ความดันโลหิตสูง และไตต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อกำจัดเกลือส่วนเกินออก กินผักและผลไม้ให้มากยกเว้นหมอสั่งห้าม ลดปริมาณอาหารมื้อเย็น โดยเฉพาะมื้อดึก ให้ความสำคัญกับอาหารมื้อแรกของวัน ในกรณีที่มีภาวะไตวายเรื้อรัง ควรถามหมอว่าคุณเป็นโรคไตเรื้อรังระดับใด กินอะไรได้บ้าง มากน้อยเพียงใด

3. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 1.5-2 ลิตร หรือ 6-8 ถ้วยต่อวัน การดื่มน้อยไปจะทำให้ไตเสื่อม มากไปจะทำให้หัวใจวาย ควรเลือกเดินทางสายกลาง

4. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และเลือกออกกำลังกายอย่างเหมาะสม ซึ่งสามารถกระทำได้ทั้งในคนปกติและผู้ที่เป็นโรคไต ได้แก่ การเดิน ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค หรือการออกกำลังกายอื่นๆ ที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างต่อเนื่อง หากเลือกยกน้ำหนักไม่ควรยกน้ำหนักที่มากเกินไป นอกจากการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายสมบูรณ์และแข็งแรงแล้ว การออกกำลังกายจะสามารถลดระดับความดันโลหิตลงได้ ลดไขมันส่วนเกิน ทำให้นอนหลับง่ายขึ้นและช่วยควบคุมน้ำหนักตัว

5. พักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน การนอนพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ จะทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น ซึ่งมีผลกระทบทางอ้อมต่อไตทำให้ไตเสื่อมเร็วยิ่งขึ้น

6.ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ผู้ที่อ้วนเกินไปจะทำให้ไตทำงานหนัก ทำให้ไตเสื่อมหน้าที่เร็วขึ้น เพราะภาวะอ้วนจะทำให้โปรตีนรั่วในปัสสาวะเพิ่มขึ้น จากการกดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้ความดันภายในไตสูงขึ้น โปรตีนที่รั่วนี้จะเป็นตัวทำลายไต การเปลี่ยนแปลงนี้จะดีขึ้นถ้าน้ำหนักตัวลดลง จึงควรควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน

7. หลีกเหลี่ยงสารเสพติด รวมถึงบุหรี่และแอลกอฮอล์ นอกจากสารเสพติดจะทำลายสุขภาพโดยรวมแล้ว ยังทำลายไตโดยตรง การดื่มแอลกอฮอล์จะมีผลเสียต่อทั้ง ตับและไต โดยเฉพาะคนที่ป่วยโรคไตควรเลิกดื่มจะดีที่สุด นอกจากการสูบบุหรี่จะทำให้ร่างกายได้รับสารพิษมากกว่า 50 ชนิดแล้ว ยังพบว่าไตของผู้ที่สูบจะเสื่อมหน้าที่เร็วขึ้น 1.2 เท่า ผลกระทบดังกล่าวยังเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ไม่สูบบุหรี่ แต่ไปอยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่

8. หลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานานๆ บ่อยครั้งที่คนเราต้องกลั้นปัสสาวะนานๆ เช่น การที่ต้องค้างเติ่งบนรถที่ติดกันเป็นแพ หรือเดินทางในรถโดยสารทางไกล แน่นอนครับถ้าจำเป็นจริงๆ คงจะหลีกเลี่ยงการกลั้นปัสสาวะไม่ได้ แต่พบว่าในบางคนที่ชอบกลั้นปัสสาวะ ทั้งๆ ที่สามารถไปห้องน้ำได้ ที่พบบ่อยในปัจจุบัน ได้แก่ เด็กวัยรุ่นที่เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ พบว่าการกลั้นปัสสาวะนานๆ เป็นต้นเหตุให้เชื้อโรคแทรกซึมเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และเกิดการอักเสบของท่อทางเดินปัสสาวะ ในบางรายทำให้เกิดโรคไตอักเสบเฉียบพลันได้

9. หลีกเลี่ยงกลุ่มยาที่อาจมีผลต่อไต เช่น ยาแก้ปวดข้อ ปวดเส้น ปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งมักจะเป็นยาในกลุ่ม “ยาเอ็นเสด (NSAIDs)” ซึ่งเป็นยาลดการอักเสบที่มีฤทธิ์แรงมาก แม้แต่ยาแก้อักเสบฆ่าเชื้อ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือมีการแพ้ยา ก็อาจเกิดอันตรายต่อไตได้ เช่น ซัลฟาอาจตกตะกอนในไตทำให้ปัสสาวะไม่ออกได้ ผู้ที่มีการทำงานของไตบกพร่อง จะต้องลดขนาดยาแก้อักเสบลง ดังนั้นควรปรึกษาหมอก่อนทุกครั้งที่กินยากลุ่มนี้ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคไต แม้แต่ยาแก้ปวดชนิดที่เป็นแอสไพริน และพาราเซตามอล หากใช้ติดต่อกันเกิน 10 วันอาจทำให้ไตเสื่อมได้ ถ้าจำเป็นต้องกินยากลุ่มนี้นานควรปรึกษาแพทย์ โดยเฉพาะผู้ที่มีการทำงานของไตและตับบกพร่อง ขอแนะนำว่าอย่ากินยาใดๆ โดยไม่ปรึกษาหมอก่อน และไม่ควรลองยาแปลกๆ ที่มีผู้อื่นแนะนำ รวมทั้งสมุนไพรต่างๆ ถ้ากินยาแล้วมีอาการเปลี่ยนแปลง ให้รีบปรึกษาแพทย์ทันที อย่ารอให้ยาหรือสารพิษทำลายไตของคุณหมดแล้วจึงค่อยมาพบ ถึงตอนนี้การรักษาใดๆ ก็ไม่สามารถทำให้ไตของคุณฟื้นได้ แต่ต้องรับการฟอกไตทดแทนไปตลอดชีวิต

10. อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา ในท้องตลาดมีการขายสารอาหารต่างๆ มากมายเพื่อบำรุงสุขภาพ อาหารเสริมเหล่านี้ทางองค์การอาหารและยา (อย.) ได้จัดเป็นอาหารไม่ใช่ยา ดังนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป และไม่จำเป็นต้องมาพบหมอก่อนซื้อ ในส่วนอาหารเสริมเหล่านี้ อย. ได้รับรองแล้วว่าคุณสามารถซื้อกินได้โดยไม่เกิดโทษ แต่ทางที่ดีก่อนจะซื้อ ควรอ่านฉลากอาหารที่แนบไว้ด้วยว่า อาหารเสริมมีข้อจำกัดหรือข้อควรระวังประการใดบ้าง อาหารเสริมบางอย่างมีเกลือผสมอยู่มาก ทำให้เกิดโทษได้ในผู้ที่เป็นโรคไตเรื้อรังและโรคความดันโลหิตสูง นอกจากนี้พบว่าปัจจุบันมีอาหารหรือสารบางอย่างที่โฆษณาขายว่า “สามารถรักษาโรคไตอ่อนแอได้” คำโฆษณาเกินจริงเหล่านี้ ฟังดูน่าสนใจ เชื่อว่าผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่มีโรคที่หมอบอกว่ารักษา ไม่มีทางหาย คงต้องอยากหายแน่นอน จึงอยากพบกับยาวิเศษ แต่คุณทราบไหมครับว่า สารหรืออาหารวิเศษที่ประกาศขายตามหนังสือรายสัปดาห์และหนังสือพิมพ์นั้น ไม่มีใครรับรองสรรพคุณ ถ้าเป็นยาดีจริง ทำไมไม่มีขายในโรงพยาบาล และถ้ายาเหล่านี้ดีจริง ทำไมต้องขายทางไปรษณีย์ที่คุณไม่มีทางรู้จักผู้ขายเลย คุณต้องส่งเงินหรือโอนเงินไปให้ ผลจากการหลงเชื่อเหล่านี้ ทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคไตวายเรื้อรังมาแล้วนับไม่ถ้วน ครับ
โดยสรุปที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเคล็ดลับ สำหรับคนที่ไม่อยากเป็นโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย หรืออย่างน้อยถ้าทำได้ก็จะช่วยยืดอายุไตของคุณออกไปอีกยาวนาน การดูแลตนเองเป็นหลักสำคัญสำหรับทุกคนครับ ที่ยังไม่เป็นหรือเป็นโรคไตระยะแรกๆ ซึ่งหมอยังมีบทบาทไม่มากนักในการสั่งจ่ายยา แต่ในระยะแรกๆ นี้ คนทั่วไปมักจะละเลยคิดว่าตนเองยังสบายดีอยู่ แต่เมื่อใดที่โรคไตเป็นมากขึ้น ก็ถึงเวลาแล้วที่จะต้องมาพบกับแพทย์อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งในกรณีหลังนี้ หมออยากบอกท่านว่า “ช้าไปแล้ว” อย่างไรก็ตามในทุกระยะของโรคไตเรื้อรัง พบว่าการปฏิบัติตามเคล็ดลับ 10 ประการได้ผลดีทั้งสิ้น ไม่ว่ามากหรือน้อยก็ตาม ก็จะช่วยยืดอายุการทำงานไตของคุณให้ยาวนานขึ้น

ผศ.นพ. เถลิงศักดิ์ กาญจนบุษย์
ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไต

http://www.gotoknow.org/posts/510122

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น