จากการเปรียบเทียบพฤติกรรมการบริโภค ระหว่างคนอเมริกัน กับ คนจีน และผลกระทบของการบริโภคในเรื่องสุขภาพ พบว่าคนอเมริกันกินอาหารที่มีไขมันและเนื้อสัตว์มากกว่าคนจีน ในขณะที่คนจีนจะกินอาหารจำพวกผัก ผลไม้ และเมล็ดธัญพืชมากกว่าคนอเมริกัน ผลการศึกษาจึงชี้ให้เห็นว่า คนอเมริกันป่วยเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ-หลอดเลือด โรคกระดูกผุ ไขมันในเลือดสูง ไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนจีน (แต่ในปัจจุบันคนจีนและชาติอื่นๆก็เริ่มมีการบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มมากขึ้น)
จากผลการศึกษาของ Dr. T Colin Campbell ได้สรุปเรื่องของอาหารและการก่อโรค อย่างน่าสนใจว่า
1. การกินอาหารไขมัน ในปริมณที่เกิน 30 เปอร์เซนต์ของอาหารทั้งหมด จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิด และโรคเรื้อรังต่างๆ
2. การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มากว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จะเร่งการเกิดการขยายตัว การส่งเสริมโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ
3. การกินอาหารที่มีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม (เนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ อาหารจานด่วน ฯลฯ) ในเพศหญิง มีไขมันสูงและสารปนเปื้อน ทำให้เพิ่มเอสโตรเจนในร่างกาย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเฉพาะหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนเร็ว เมื่ออายุประมาณ 10-12 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ และมดลูกสูง
จากผลการศึกษาของ Dr. T Colin Campbell ได้สรุปเรื่องของอาหารและการก่อโรค อย่างน่าสนใจว่า
1. การกินอาหารไขมัน ในปริมณที่เกิน 30 เปอร์เซนต์ของอาหารทั้งหมด จะเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งหลายชนิด และโรคเรื้อรังต่างๆ
2. การบริโภคอาหารที่มีโปรตีนจากเนื้อสัตว์ มากว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จะเร่งการเกิดการขยายตัว การส่งเสริมโรคมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ฯลฯ
3. การกินอาหารที่มีโปรตีน ไขมัน แคลเซียม (เนื้อสัตว์ นม เนย ไข่ อาหารจานด่วน ฯลฯ) ในเพศหญิง มีไขมันสูงและสารปนเปื้อน ทำให้เพิ่มเอสโตรเจนในร่างกาย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งในอวัยวะสืบพันธุ์ โดยเฉพาะหญิงที่เริ่มมีประจำเดือนเร็ว เมื่ออายุประมาณ 10-12 ปี จะมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ และมดลูกสูง
4. นมและผลิตภัณฑ์จากนม ไม่สามารถป้องกันโรคกระดูกเปราะบาง และโรคกระดูกผุได้ และเรื่องของสมดุลธรรมชาติ จะเป็นตัวบ่งชี้ของการเกิดโรคได้เช่นกัน กล่าวคือ หากกินอาหารจำพวกธัญพืช ข้าวกล้อง ผักสด ผลไม้ เป็นประจำจะทำให้สุขภาพดีได้ ในขณะเดียวกัน หากยังคงกินอาหารขยะ หรือผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ก็จะเสี่ยงกับการเกิดโรคต่างๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น