วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

14 พฤติกรรมนำพาไปหามะเร็ง!!!



ความน่ากลัวของ “มะเร็ง” คือ เป็นแล้วมักลาม หายแล้วเป็นใหม่ได้ ด้วยเหตุนี้ผู้ป่วยหลายคนจึงถูกมะเร็งคร่าชีวิตไปนับไม่ถ้วน แม้จะได้รับการเยียวยารักษาอย่างดีแล้วก็ตาม

สำหรับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งนั้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ บอกว่า มี 14 ประการ ดังต่อไปนี้

1.นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนี้ยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่น เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน เพราะการนอนดึก มักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยวมากินแก้ปากว่างกัน

2.คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็ง

3.เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มัน จะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบ ไม่เหลือเลือดอันสมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอา ๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไว

4.แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็ว ราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5.ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ในคนที่ภูมิไม่ดี ไม่มีการออกกำลัง พักผ่อนน้อย โดยเฉพาะผู้อายุมากที่ภูมิต่ำก็จะได้มะเร็งแถมเข้ามาในชีวิตทันที ดังนั้นถ้าเคยมีประวัติไวรัสตับอักเสบบีแล้ว ก็ต้องพยายามเสริมภูมิต้านโรคไว้ให้รู้สึกอยู่เสมอว่าเรามีระเบิดเวลาในกายจะได้ไม่ประมาท

6.ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7.ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไปก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8.กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อน หรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9.ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่า ถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดี มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10.ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11.ปะทะเค็มจัด พบว่า สิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวก เนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12.ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดี ๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมา

13.ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสี ที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจจนเครื่องในรวนหมด เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ

14.ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้วเรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ “อยาก” อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี “สารสุข” หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้ว



ขอบคุณที่มา : http://www.oknation.net/blog/honeymay/2013/07/29/entry-1

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิกฤตไข้เลือดออกความจริงที่สธ.ไม่เคยบอก?

ไม่มีคำอธิบายใดจากกระทรวงสาธารณสุข (สธ.)ถึงสาเหตุของวิกฤตไข้เลือดออกที่กำลังลามทุ่งทั่วประเทศ ...จนถึงวินาทีนี้สถิติส่อเค้าทุบประวัติศาสตร์ในรอบทศวรรษ

หากเป็นไปตามที่ สธ.คาดการณ์ ปี 2556 จะมีผู้ติดเชื้อร่วม 1.2 แสนคน มากที่สุดในรอบ 12 ปี
คำถามคือ ... เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?ย้อนไปช่วงปลายปี 2555 สัญญาณการระบาดถูกส่งผ่านความแปรปรวนทางภูมิอากาศช่วง 3 เดือนสุดท้าย
ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ประเทศไทยกลับได้สัมผัสกับอากาศอบอุ่นในบางจังหวะสลับด้วยฝนตกชุก ขณะนั้นตัวเลขผู้ป่วยเพิ่มมากถึง 2.8 หมื่นคนกระทั่งสะสมถึงปัจจุบันมีผู้ป่วยแล้วกว่า 8.2 หมื่นคนในจำนวนนี้เสียชีวิต 78 คน (สูงกว่าปี 2555 ถึง 3 เท่า)
สอดรับกับการระบาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่พบว่าผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตจากโรคไข้เลือดออกสูงขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน โดยเฉพาะสิงคโปร์และฟิลิปปินส์
อย่างไรก็ดี สำหรับประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าลาว กัมพูชา แม้ว่าจะรายงานสถิติผู้ป่วยเพียงหลักพันเท่านั้น แต่เป็นที่เข้าใจกันดีในระดับสากลว่าระบบการค้นหารวมถึงมาตรฐานการสืบสวนสอบสวนโรคของประเทศเหล่านั้นยังไม่ดีพอ
สมมติฐานหนึ่งซึ่งมีความน่าจะเป็นสูง เนื่องด้วยมีงานวิจัยหลายเล่มจากนานาประเทศรองรับคือ ความรุนแรงของการระบาดแปรผันตรงกับอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น กล่าวคือ "ยิ่งโลกร้อน ไข้เลือดออกยิ่งระบาดหนัก"
นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ  ประธานชมรมพัฒนาระบาดวิทยาแห่งประเทศไทย อ้างงานวิจัยสำทับความเชื่อข้างต้น เขาอธิบายว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลให้ยุงลายมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น โดยปกติแล้วยุงลายมีชีวิตอยู่ประมาณ 30 วัน แต่เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น0.5 องศาเซลเซียส ยุงลายจะมีวงจรอยู่ได้ถึง 45-60 วัน
นักระบาดวิทยารายนี้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ตามธรรมชาติยุงลายจะออกหากินหรือกัดในช่วงเวลากลางวัน แต่เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเป็นเหตุให้ในช่วงกลางคืนยังมีอุณหภูมิเหมาะสม ยุงลายจึงสามารถออกหากินได้
นอกจากนี้ ยังพบผลการวิจัยเรื่อง"รูปแบบการรอดชีวิตและการติดต่อของโรคไข้เลือดออก" จากประเทศฝรั่งเศส ที่ช่วยยืนยันความน่าเชื่อถือของข้อมูลข้างต้น โดยระบุว่า ยุงลายสามารถมีชีวิตได้ถึง 76 วัน ในสิ่งแวดล้อมที่มันชื่นชอบในที่นี้หมายถึงอากาศร้อนชื้น(นั่นก็คือประเทศไทย)งานวิจัยอีกเล่ม เรื่อง"ปัจจัยที่กระตุ้นให้โรคไข้เลือดออกระบาด : ศึกษาจากสัดส่วนประชากรดักแด้ยุงลายและปัจจัยภายนอก" จากสหรัฐอเมริกา ให้ความจริงที่น่าตกใจอีกว่า อุณหภูมิตั้งแต่ 32 องศาเซลเซียสขึ้นไป เร้าให้ยุงลายเพิ่มจำนวนการกัดขึ้นเป็น 2 เท่า(ยุงลายต้องปรับตัวเพื่อการอยู่รอดในอากาศร้อนด้วยการกัด)
หนำซ้ำงานวิจัยเล่มนี้ยังบอกอีกว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นได้กระตุ้นให้ยุงลายโตเร็วขึ้นอีกถึง 4 เท่า กล่าวคือช่วงอุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส ยุงลายจะโตเต็มวัยใน4 วัน แต่ในอุณหภูมิ 32-34 องศาเซลเซียส จะโตเต็มวัยภายใน 1 วัน
ธรรมชาติของโรคไข้เลือดออกจะมียุงลาย "เพศเมีย"เป็นพาหะ ผลการวิจัยเรื่อง"ผลกระทบของอุณหภูมิและอาหารของตัวอ่อนต่อการพัฒนาการเจริญเติบโตและการอยู่รอดของลูกน้ำ" ของออสเตรเลีย พบว่า ที่อุณหภูมิมากกว่า 30 องศาเซลเซียส ยุงลายจะเกิดเป็นเพศเมียมากกว่าเพศผู้ในสัดส่วน 4:3 นั่นหมายความว่า นอกจากจะมียุงพาหะมากขึ้น ยังมียุงที่จะวางไข่เพื่อให้เกิดประชากรยุงมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับการฟักตัวของโรคในคน โดยปกติแล้วหลังจากถูกยุงกัดประมาณ 10-12 วัน ร่างกายจึงจะแสดงอาการ แต่มีผลการวิจัยเรื่อง"ผลกระทบของอุณหภูมิต่อประสิทธิภาพการกระจายเชื้อไข้เลือดออก" ของสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในช่วงอุณหภูมิ 32-35 องศาเซลเซียส จะย่นย่อระยะเวลาเหลือเพียง 7 วันเท่านั้น
ทั้งนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยของประเทศไทยตามที่เครือข่ายสถาบันวิจัยระดับภูมิภาค (START) วิเคราะห์ อยู่ที่31-33.5 องศาเซลเซียส
เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าสธ.มีผลการศึกษาเหล่านี้
คำถามคือ เหตุใดจึงไม่เปิดให้ประชาชนเข้าถึงเพื่อสร้างความตระหนัก ซึ่งได้ผลดีกว่าการรณรงค์ "ให้กำจัดลูกน้ำ" ซ้ำซาก โดยไม่บอกที่มาที่ไป 
ที่มา: หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์  วันที่ 29 กรกฎาคม 2556

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การตัดภาพด้วย Photoshop

การตัดภาพด้วย Photoshop ไม่ได้ยากอย่างที่เราหลายคนคิด ลองเรียนรู้ดูครับ ไม่ลองก็ไม่รู้



วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พระมหากัสสปเถระ


พระมหากัสสปเถระ เอตทัคคะ : ผู้ทรงธุดงค์คุณ 
มีนามเดิมว่า “ปิปผลิมาณพ” เกิดที่หมู่บ้านพราหมณ์ชื่อว่า “มหาติฏฐะ” ในแคว้นมคธ เมืองราชคฤห์ บิดาชื่อ กปิละ มารดาไม่ปรากฎชื่อ เป็นวรรณะพราหมณ์ตระกูลมหาศาลเชื้อสายกัสสปโคตร

ต่อมาบิดาและมารดาจึงต้องการผู้สืบเชื้อสายวงค์ตระกูล ได้จัดการให้แต่งงานกับหญิงสาวธิดาพราหมณ์มหาศาลเหมือนกัน ชื่อภัททกาปิลานี ในขณะท่านมีอายุได้ 20 ปี นางภัททกาปิลานีมีอายุได้ 16 ปี แต่เพราะทั้งคู่จุติมาจากพรหมโลก และบำเพ็ญเนกขัมมบารมีมา จึงไม่ยินดีเรื่องกามารมณ์

เห็นโทษของการครองเรือนว่า ต้องคอยเป็นผู้รับบาปจากการการะทำของผู้อื่น ในที่สุดทั้งสองได้ตัดสินใจออกบวชโดยยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้แก่ญาติและบริวาร พวกเขาได้ไปซื้อผ้ากาสาวพัสตร์ และบาตรดินจากตลาด ต่างฝ่ายต่างปลงผม ให้แก่กันเสร็จแล้ว ครองผ้ากาสาวพัสตร์สะพายบาตร ลงจากปราสาทไปอย่างไม่มีความอาลัย

ท่านได้ไปพบ พระพุทธองค์ที่ต้นไทร ชื่อว่า “พหุปุตตนิโครธ” ระหว่างเมืองราชคฤห์กับเมืองนาลันทา พระพุทธองค์ทรงประทานการบวชให้ท่านแบบ โอวาท ปฏิคคหณูปสัมปทา คือ การบวชด้วยการประทานโอวาทให้ 3 ข้อ คือ
  1. ทรงสอนให้มีหิริโอตตัปปะในภิกษุที่เป็นเถระ นวกะ และปานกลาง
  2. ทรงสอนให้ฟังธรรมทั้งหมดที่ประกอบไปด้วยกุศล ด้วยความเคารพและทรงจำไว้ให้ได้
  3. ทรงสอนให้เจริญกายคตาสติอย่างสม่ำเสมอ
  • ท่านออกบวชอุทิศพระอรหันต์ในโลก
  • ท่านได้รับสังฆาฏิจากพุทธองค์ ซึ่งเป็นการยกย่องอย่างยิ่ง
  • ท่านเป็นต้นแบบของผู้มักน้อยสันโดษ คือสมาทานธุดงค์ครบทั้ง 13 ข้อ
  • ท่านได้รับยกย่องว่าเป็นผู้เลิศในการถือธุดงค์เป็นวัตร
  • ท่านได้เป็นประธานจัดทำสังคายนาพระธรรมวินัยเป็นครั้งแรก

พระอุรุเวลกัสสปเถระ


พระอุรุเวลกัสสปเถระ เอตทัคคะ : เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีบริวารมาก

ชื่อเดิมคือ “กัสสปะ” เกิดในตระกูลพราหมณ์ ที่เมืองพาราณสี แคว้นกาสี ตระกูลกัสสปโคตร มีพี่ร่วมท้องเดียวกัน คือ น้องชาย 2 คน ได้แก่ นทีกัสสปะ และคยากัสสปะ ทั้ง 3 พี่น้อง ต่างเป็นอาจารย์สอนคัมภีร์ไตรเพท แก่ศิษย์ผู้เป็นบริวารของตนๆ รวมจำนวนถึง 1,000 คน

ต่อมาท่านเห็นว่าความรู้ที่มีอยู่ไม่มีสาระแก่นสาร จึงได้ชักชวนกันออกบวชเป็นฤาษีบำเพ็ญพรตด้วยการบูชาไฟ ถือว่าตนเป็นพระอรหันต์ สร้างอาศรมสั่งสอนลัทธิอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม

หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงส่งสาวก 60 องค์ไปประกาศพระศาสนา และเสด็จไปโปรดชฏิลทั้ง 3 พี่น้อง พระองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ จนทำให้ชฏิลทั้ง 3 พี่น้องละพยศลดทิฏฐิมานะกลับมาเลื่อมใส และยอมรับนับถือพระรัตนตรัย ได้ขอบรรพชาอุปสมบท ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา

ต่อมาพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมชื่อ“อาทิตตปริยายสูตร” ซึ่งมีใจความว่าตา หูจมูก ลิ้นกาย และใจ เป็นของร้อน คือร้อนด้วยไฟ คือราคะ โทสะ และโมหะเป็นต้นเมื่อจบพระธรรมเทศนาท่านก็บรรลุเป็นพระอรหันต์

พระเจ้าพิมพิสารทราบข่าว จึงพร้อมด้วยข้าราชบริพาร เสด็จพระราชดำเนินไปเฝ้า พระพุทธองค์ทอดพระเนตรข้าราชบริพารมีกิริยาอาการไม่อ่อนน้อม จึงตรัสสั่งให้พระอุรุเวลกัสสปะประกาศลัทธิของท่านว่าไม่มีแก่นสาร ท่านจึงได้ทำตามพระพุทธดำรัส คนเหล่านั้นสิ้นความสงสัย ตั้งใจฟังพระธรรมเทศนา ชื่อว่า “อนุปุพพิกถา และอริยสัจ 4”

เวลาจบเทศนา พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วยบริวาร 11 ส่วน ได้บรรลุโสดา-ปัตติผล อีก 1 ส่วน ได้ดำรงอยู่ในไตรสรณคมน์ เป็นเหตุให้พระเจ้าพิมพิสารถวายวัดแห่งแรกแก่พระพุทธศาสนาชื่อว่า “เวฬุวัน”
ท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “อาทิตต-ปริยายสูตร” คือ สิ่งทั้งปวงเป็นของร้อน

1.ท่านมีบริวาร 500 นทีกัสสปะ 300 คยากัสสปะ 200 รวมเป็น 1,000
2.ท่านได้เป็นอาจารย์ที่ชาวเมืองราชคฤห์นับถือมาก
3.ท่านพร้อมทั้งน้องชาย 2 คน บูชาไฟอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ชฏิล แปลว่า ผู้มีผมเป็นมวย หรือผู้มีมวยผมนั้นเอง
4.แคว้นมคธ มีราชคฤห์เป็นเมืองหลวง มีพระเจ้าพิมพิสารเป็นผู้ปกครอง



พระอัญญาโกณฑัญญเถระ


พระอัญญาโกณฑัญญเถระ เอตทัคคะ : รัตตัญญู คือ ผู้รู้ราตรีนาน

เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะประสูติได้5วันโกณฑัญญะพราหมณ์ซึ่งหนุ่มที่สุดในบรรดาพราหมณ์ 108 คนได้ทำนายลักษณะพระราชกุมารเป็นทางเดียวว่า“จะเสด็จออกบวชได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกอย่างแน่นอน”ท่านเองก็มีความเลื่อมใสศรัทธาจะออกบวชตาม

เมื่อทราบข่าวการออกบวชของเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมารจึงได้ชักชวนพราหมณ์อีก 4 ท่าน คือ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ทั้งหมดรวมเรียกว่า ปัญจวัคคีย์ แปลว่า กลุ่มคน 5 คน”ท่านได้เป็นหัวหน้าปัญจวัคคีย์อุปัฏฐากพระพุทธเจ้า เมื่อครั้งทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยาอยู่ 6 ปี แต่ไม่ทรงตรัสรู้ จึงทรงเลิกแล้ว กลับมาบำเพ็ญเพียรทางจิต

หลังจากที่ท่านได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกชื่อว่า “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” จบโกณฑัญญะพราหมณ์ ก็เกิดดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุพระโสดาบันว่า “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา” ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงเปล่งพระอุทานว่า“โกณฑัญญะรู้แล้วหนอๆ” จากนั้นท่านจึงได้ชื่อใหม่ว่า “อัญญาโกณฑัญญะ” เพราะเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมก่อนใครทั้งหมดนั้นเอง

ท่านได้ขออุปสมบท และพระพุทธองค์ทรงอนุญาต และตรัสว่า “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว เธอจงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด” การอุปสมบทอย่างนี้ เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” และท่านได้เป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา หรือปฐมสาวกนั้นเอง

ท่านบวชไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะพระธรรมเทศนาชื่อว่า “อนัตตลักขณสูตร”ได้แก่สูตรที่ว่าด้วยรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณไม่ใช่ตัวตน และได้รับยกย่องว่า เป็นเลิศในทางผู้รู้ราตรี (รัตตัญญู) คือรู้ธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสสอนก่อนใครทั้งหมด

1.ท่านเป็นหนึ่งในปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 และเป็นหัวหน้า
2.ท่านเป็นผู้เลิศด้านรัตตัญญู คือผู้รู้ราตรีนาน เพราะบวชก่อนใครทั้งหมด
3.ท่านได้หลานชาย (ลูกน้องสาว) คือพระปุณณมันตานีบุตรเป็นลูกศิษย์ และได้มีกุลบุตรบวชในสำนักของท่านเป็นจำนวนมาก
4.ท่านเป็นปฐมสาวก (พระสงฆ์รูปแรก) ในพระพุทธศาสนา




พระสารีบุตรเถระ


พระสารีบุตรเถระ เอตทัคคะ : เป็นเลิศในทางมีปัญญามาก และ เป็นอัครสาวกเบื้องขวา

มีนามเดิมว่า “อุปติสสะ” เกิดที่หมู่บ้านอุปติสสะ เมืองนาลันทา ในตระกูลพราหมณ์มหาศาล เมื่อช่วงเป็นหนุ่มน้อย บิดาได้หาเด็กหนุ่มวัยเดียวกันเป็นบริวารถึง 500 คน

วันหนึ่ง หลังจากได้ชมมหรสพดังเช่นทุกปีบนยอดเขาแล้ว กลับมีกิริยาอาการและความรู้สึกที่ไม่เหมือนเก่า คือถึงตอนหัวเราะก็ไม่สนุกสนาน ถึงตอนเศร้าโศกก็ไม่ได้แสดงอาการเศร้าโศก ถึงตอนจะให้รางวัลก็ไม่ให้รางวัล แต่มีความรู้สึกสังเวชสลดใจว่า “ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย ตัวละครที่กำลังแสดงอยู่นี้ อยู่ได้ไม่ถึง 100 ปี ก็คงตายกันหมด แล้วก็มีตัวละครคนใหม่มาแสดงแทน เราเองมัวมาหลงดูอยู่ทำไม ไฉนจึงไม่แสวงหาโมกขธรรม (ความหลุดพ้น) มีความเบื่อหน่ายในชีวิต ” และได้ออกบวชอยู่ในสำนักของสัญชัยปริพพาชก ก็ไม่ประสบผลสำเร็จตามที่ตนต้องการ เพราะว่าไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ได้

เช้าวันหนึ่งอุปติสสปริพพาชกได้พบพระอัสสชิเถระ กำลังออกรับบิณฑบาตโปรดสัตว์ด้วยอาการอันสงบสำรวมก็เกิดความเลื่อมใสว่า“นักบวชแบบนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน ท่านคงจะเป็นพระอรหันต์แน่” จึงเข้าไปถามว่า “ท่านมีอินทรีย์ผ่องใสผิวพรรณบริสุทธิ์ผุดผ่องท่านบวชเชิดชูใครใครเป็นศาสดาของท่านท่านชอบใจธรรมของใคร”จึงได้คำตอบจากพระอัสสชิอย่างถ่อมตนว่า “อาตมาเป็นพระบวชใหม่ เพิ่งมาสู่ธรรมวินัยของพระศาสดาไม่นานนัก อาตมาจึงไม่สามารถพอที่จะบอกถึงคำสอนของพระศาสดาโดยพิสดารได้” จึงขอกล่าวธรรมโดยย่อว่า

“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตตรัสเหตุแห่งธรรมเหล่านั้นไว้และตรัสถึงความดับ(เหตุ)ไว้ด้วย พระสมณะผู้ยิ่งใหญ่มีปรกติตรัสอย่างนี้”

พอกล่าวจบ อุปติสสปริพพาชก ก็บรรลุโสดาปัตติผล แล้วจึงกลับไปบอกเพื่อนโกลิตปริพพาชกให้บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน และทั้งสองจึงชักชวนกันไปพบกับอาจารย์สัญชัยปริพพาชก เพื่อจะไปเฝ้าพระพุทธองค์ แต่ก็ถูกอาจารย์ปฏิเสธอย่างแข็งขันว่า “ในโลกนี้คนโง่มากหรือคนฉลาดมาก” ท่านบอกว่า “คนโง่มีมาก คนฉลาดมีน้อย” ถ้าอย่างนั้น “ขอให้คนฉลาดจงไปหาพระสมณโคดม ส่วนคนโง่จงมาหาฉัน”

ทั้งสองจึงอำลาอาจารย์สัญชัยพร้อมด้วยบริวาร 250คนไปเฝ้าพระพุทธองค์ที่พระเวฬุวันและขออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทาจึงมีชื่อใหม่ว่า “ สารีบุตร” ครั้นได้ฟังธรรมเทศนาชื่อว่า “เวทนาปริคคหสูตร” ซึ่งพระพุทธองค์แสดงแก่หลานชายชื่อ “ทีฆนขปริพพาชก” ที่ถ้ำสุกรขาตา เขาคิชฌกูฏ ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 สำเร็จเป็นพระอรหันต์ หลังจากบวชได้ 15 วัน และได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า



1.ท่านเปรียบเสมือนแม่ผู้ให้กำเนิดบุตร คือผู้บวชให้พระภิกษุ
2.ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา
3.ท่านได้รับนามใหม่อีกว่า “เป็นธรรมเสนาบดี”
4.ท่านเป็นผู้มีปฏิภาณไหวพริบในการแสดงธรรม
5.ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์รูปแรกในการอุปสมบทพระราธะ  ด้วยวิธีญัตติจถุตถกรรมวาจา


ก่อนจะปรินิพพานเมื่อวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ที่บ้านของท่านเอง ด้วย โรคปักขันทิกาพาธ (ถ่ายจนเป็นเลือด) หลังจากท่านได้เทศนาโปรดมารดาจนได้บรรลุโสดาบันแล้ว จึงปรินิพพานในที่สุด





พระมหาโมคคัลลานะ

พระมหาโมคคัลลานะ



                 ท่านมหาโมคคัลลานะ เป็นบุตรพราหมณ์ผู้เป็นนายบ้านชื่อว่า โกลิตะ มารดาชื่อนางโมคคัลลี แต่เดิมชื่อว่า โกลิตะ ตามโคตรแห่งบิดา และถูกเรียกชื่อเพราะ เป็นบุตรนางโมคคัลลีว่า โมคคัลลานะ พอเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาแล้ว พวกภิกษุเรียกกันว่า พระโมคคัลลานะ ทั้งนั้นท่านเกิดใน โกลิตคามไม่ห่างจากเมืองราชคฤห์ สมัยเป็นเด็กได้เป็นสหายที่รักใคร่กันกับอุปติสสมาณพ ผู้มีอายุคราวเดียวกัน และตระกูลของทั้งสองนั้นมั่งคั่ง สมบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์และบริวารเท่า ๆ กัน มีความคุ้นเคยสนิทสนมกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เมื่อโกลิตมาณพเจริญวัยขึ้นก็ได้ำปศึกษาเล่าเรียนศิลปะด้วยกันกับอุปติสสมาณพ แม้จะไปเที่ยวหรือไปทำธุระอะไรก็มักจะไปด้วยกันอยู่เสมอ จนกระทั่งเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็บวชพร้อมกัน ต่างกันแต่ว่าได้ดวงตาเห็นธรรมครั้งแรกนั้นไม่พร้อมกัน เรื่องราวต่าง ๆ ก่อนอุปสมบทคล้าย ๆ กับพระสารีบุตรตามที่ได้บรรยายมาก่อนหน้านี้

หลังจากอุปสมบทแล้ว ๗ วัน ได้ไปทำความเพียรอยู่ที่บ้านกัลลวาลมุตตคาม แขวงมคธ เกิดความอ่อนใจนั่งโงกง่วงอยู่ พระบรมศาสดาเสด็จไปที่นั่น ทรงสั่งสอน และแสดงอุบายสำหรับระงับความง่วง ๘ ประการ คือ
๑. โมคคัลลานะ เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไร ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้ เธอควรทำในใจถึงสัญญานั้นให้มาก จะละความง่วงนั้นได้
๒. หากยังละไม่ได้ เธอควรตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาแล้วด้วยใจของเธอเอง จะละความง่วงได้
๓. หากยังละไม่ได้ เธอควรสาธยายธรรมตามที่ตนได้ฟังและได้เรียนมาโดยพิสดาร จะละความง่วงได้
๔. หากยังละไม่ได้ เธอควรยอนหูทั้งสองข้างและลูบด้วยฝ่ามือ จะละความง่วงได้
๕. หากยังละไม่ได้ เธอควรลุกข้นยืน ลูบนัยน์ตาด้วยน้ำ เหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ จะละความง่วงได้
๖. หากยังละไม่ได้ เธอควรทำในใจถึงอาโลกสัญญา คือความสำคัญในแสงสว่าง ตั้งความสำคัญว่ากลางวันไว้ในใจ ให้เหมือนกันทั้งกลางวันและกลางคืน มีจิตใจแจ่มใสไม่มีอะไรห่อหุ้ม ทำจิตอันมรแสงสว่างให้เกิด จะละความง่วงได้
๗. หากยังละไม่ได้ เธอควรอธิษฐานจงกรม กำหนดหมายว่าจะเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์ มีจิตไม่คิดไปภายนอก จะละความง่วงได้
๘. หากยังละไม่ได้ เธอควรสำเร็จสีหไสยาสน์ คือนอนตะแคงเบื้องขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมกัน มีสติสัมปชัญญะ ตั้งใจว่าจะลุกขึ้น พอเธอตื่นแล้วควรรีบลุกขึ้น ด้วยการตั้งใจว่าจะไม่ประกอบสุขในการนอน จะไม่ประกอบสุขในการเอนหลัง จะไม่ประกอบสุขในการเคลิ้มหลับ

ครั้นตรัสสอนอุบาย สำหรับระงับความง่วงอย่างนี้แล้ว ทรงสั่งสอนให้สำเหนียกอย่างนี้ว่า "เราจักไม่ชูงวง (คือการถือตัว) เข้าไปสู้ตระกูล จักไม่พูดคำที่เป็นเหตุให้คนเถียงกัน เข้าใจผิดต่อกัน และตรัสสอนให้ยินดีด้วยที่นั่งที่นอนอันเงียบสงัด และควรเป็นอยู่ตามลำพังสมณวิสัยไ เมื่อตรัสสอนอย่างนี้แล้ว พระโมคคัลลานะกราบทูลถามว่า "โดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมที่สิ้นตัณหา มีความสำเร็จล่วงส่วนเกษมจากโยคะธรรม เป็นพรหมจารีบุคคลยิ่งกว่าผู้อื่น มีที่สุดกว่าผู้อื่น ประเสริฐสุดกว่าเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายไ พระบรมศาสดาตรัสตอบว่า "โมคคัลลานะ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ไดเสดับแล้วว่า ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น เธอทราบชัดธรรมทั้งปวงด้วยปัญญาอันวิเศษ ย่อมกำหนดรู้ธรรมทั้งปวงได้ เธอได้ประสบเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นสุขก็ดี เป็นทุกข์ก็ดี มิใช่สุขมิใช่ทุกข์ก็ดี เธอพิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นด้วปัญญาเป็นเครื่องหน่าย เป็นเครื่องดับ เป็นเครื่องสละ คืนในเวทนาทั้งหลายนั้น เมื่อพิจารณาเห็นดังนั้น ย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่น สิ่งอะไร ๆ ในโลกไม่มีความสะดุ้งหวาดหวั่น ย่อมดับกิเลสให้สงบได้ด้วยตนเอง และทราบชัดว่า ชาตินี้สิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้ว กิจที่จะต้องทำได้ทำสำเร็จแล้ว กิจอื่นที่จะทำอย่างนี้อีกมิได้มี ว่าโดยย่อข้อปฏิบัติเพียงเท่านี้แหละ ภิกษุได้ชื่อว่าน้อมไปแล้วในธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา" ท่านพระโมคคัลลานะได้ปฏิบัติตามโอวาท ที่พระบรมศาสดาตรัสสั่งสอน ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้น

ครั้นได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว พระโมคคัลลานะได้เป็นกำลังสำคัญของพระบรมศาสดาในการดำเนินกิจการต่าง ๆ ตามที่พระองค์ทรงดำริให้สำเร็จเพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก จึงได้รับการยกย่องจากสมเด็จพระบรมศาสดาว่า "เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทางเป็นผู้มีฤทธิ์" และทรงยกย่องว่าเป็นคู่พระอัครสาวก คู่กันกับพระสารีบุตรในการอุปการะภิกษุผู้เข้ามาบวชในพระธรรมวินัย ดังกล่าวในประวัติพระสารีบุตรว่า สารีบุตรเปรียบเหมือนมารดาผู้ยังบุตรให้เกิด โมคคัลลานะเปรียบเหมือนนางนมผู้เลี้ยงทารกที่เกิดแล้ว สารีบุตรย่อมแนะนำให้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล โมคคัลลานะแนะนำให้ตั้งอยู่ในคุณเบื้องบน ที่สูงกว่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำยกย่องว่าพระสารีบุตรเป็นพระอัครสาวกฝ่ายขวา พระโมคคัลลานะเป็นพระอัครสาวกฝ่ายซ้าย พระธรรมเทศนา ของพระโมคคัลลานะไม่ค่อยจะมีที่เป็นโอวาทให้แก่ภิกษุสงฆ์มีเพียงแต่อนุมานสูตร ซึ่งว่าด้วยธรรมินทำให้คนเป็นผู้ว่ายากหรือง่าย ในมัฌิมนิกายกล่าวว่า ท่านพระโมคคัลลานะเข้าใจในนวกรรมคือการก่อสร้าง เพราะฉนั้นเมื่อนางวิสาขามหาอุบาสิกาสร้างบุพพาราม ในเมืองสาวัตถี พระบรมศาสดารับสั่งให้ท่านเป็นนวกัมมาธิฏฐายี คือผู้ควบคุมการก่อสร้าง

ท่านพระโมคคัลลานะ ปรินิพพานก่อนพระบรมศาสดา มีเรื่องเล่าว่า ครั้งเมื่อท่านพำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา แคว้นมคธ พวกเดียรถีย์ปรึกษากันว่า บรรดาลาภสักการะ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นแก่พระบรมศาสดาในครั้งนั้น ก็เพราะอาศัยพระโมคคัลลานะ เพราะสามารถนำข่าวในสวรรค์และนรกมาแจ้งแก่มนุษย์ ชักนำให้ประชาชนเกิดความเลื่อมใส ถ้าพวกเรากำจัดพระโมคคัลลานะเสียได้แล้ว ลัทธิของพวกเราก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น ลาภสักการะต่าง ๆ ก็จะมาหาพวกเราหมด เมื่อปรึกษากันดังนั้นแล้วจึงจ้างโจรผู้ร้ายให้ลอบฆ่าพระโมคคัลลานะ เมื่อโจรมาท่านพระโมคคัลลานะทราบเหตุนั้นจึงหนีไปเสียสองครั้ง ครั้งที่สามท่านพิจารณาเห็นว่ากรรมตามทันจึงไม่หนี พวกโจรผู้ร้ายจึงได้ทุบตีจนร่างกายแหลกเหลว ก็สำคัญว่าตายแล้ว จึงนำร่างท่าน ไปซ่อนไว้ในพุ่มไม้แห่งหนึ่งแล้วพากันหนีไป ท่านพระโมคคัลลานะยังไม่มรณะ เยียวยาอัตภาพให้หายด้วยกำลังฌานแล้วเข้าไปเฝ้าสมเด็จพระบรมศาสดา แล้วทูลลากลับปรินิพพาน ณ ที่เกิดเหตุ ในวันเดือนดับ เดือน ๑๒ หลังพระสารีบุตร ๑๕ วัน สมเด็จพระบรมศาสดาได้เสด็จไปทำฌาปนกิจแล้วรับสั่งให้นำอัฐิธาตุ มาก่อเจดีย์บรรจุไว้ ณ ที่ใกล้ประตูวัดเวฬุวัน